วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

กำเนิดเอกภพ(Big Bang)

กำเนิดเอกภพ(Big Bang)

ปัจจุบันเอกภพประกอบดัวยกาแล็กซีจำนวนเป็นแสนล้านกาแล็กซีระหว่างกาแล็กซีเป็นอวกาศที่เวิ้งว้างกว้างไกล เอกภพจึงมีขนาดใหญ่โดยมีรัศมีไม่น้อยกว่า 13,700 ล้านปีแสง ภายในกาแล็กซีแต่ละแห่งประกอบด้วยดาวฤกษ์จำนวนมากโลกของเราเป็นดาวเคราะห์หืดวงหนึ่งในระบบสุริยะ ซึ่งเป็นสมาชิกของกาแล็กซีของเรา บิกแบงเป็นทฤษฎีที่อธิบายถึงการระเบิดครั้งยิ่งใหญ่ที่ทำให้พลังงานส่วนหนึ่งเปลี่ยนเป็นสสารมีวิวัฒนาการต่อเนื่องจนเกิดเป็นกาแล็กซี เนบิวลา ดาวฤกษ์ ระบบสุริยะ โลก ดวงจันทร์ และสิ่งมีชีวิตต่างๆ ในปัจจุบัน
เอกภพ(Universe) เป็นระบบรวมของดาราจักรที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก เชื่อกันว่าในเอกภพมีดาราจักรรวมอยู่ประมาณ 10,000,000,000 ดาราจักร (หมื่นล้านดาราจักร) ในแต่ละดาราจักรจะประกอบด้วยระบบของดาวฤกษ์ (Stars) กระจุกดาว (Star clusters) เนบิวลา (Nebulae) หรือหมอกเพลิง ฝุ่นธุลีคอสมิก (Cosmic dust) ก๊าซ และที่ว่างรวมกันอยู่
จุดเริ่มต้นของสรรพสิ่ง หมายความว่า ก่อนหน้านั้นไม่มีสิ่งใดดำรงอยู่เลย หลังจากจุดนั้นสรรพสิ่งเริ่มปรากฎ ขึ้น คำพูดที่ว่าทารกได้ "กำเนิด'' ขึ้นจากเดิมที่ไม่มีอยู่ สามารถใช้ได้กับการกำเนิดของเทหวัตถุบนท้องฟ้า เช่น การกำเนิดโรค การกำเนิดระบบสุริยะ การกำเนิดดวงดาว และการกำเนิดกาแล็กซีเป็นต้น โลกกำเนิดจากการรวมตัวของผงฝุ่น ความจริงแล้วไม่เพียงแต่ระบบสุริยะ ดวงดาว และกาแล็กซีเท่านั้น แม้แต่ทารกก็กำเนิดจากการรวมตัวของมวลสารในโลกอันได้แก่ อะตอมและ โมเลกุล ซึ่งประกอบกันขึ้นโดยในรูปแบบการรวมตัวที่แตกต่างกัน แสดงให้เห็นว่ามวลสารที่เคยมีอยู่เดิมนั้น เดียวนี้ก็คงยังมีอยู่แต่เปลี่ยนแปลงรูปแบบของการรวมตัวเท่านั้น ที่มาหรือกำเนิดเอกภพเป็นอย่างไร เอกภพประกอบขึ้นจากสรรพสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา มนุษย์ โลก ดวงอาทิตย์ ดวงดาว เนบิวลา และกาแล็กซีเป็นต้น เอกภพมีการกำเนิดเหมือนกับโลกหรือไม่ ก่อนหน้าที่จะถึง ณ เวลาหนึ่ง เอกภพไม่ได้ดำรงอยู่ แต่หลังจาก ณ จุดเวลานั้นจึงมีเอกภพปรากฏขึ้น สำหรับดวงดาว ก่อนหน้าดวงดาวจะกำเนิดขึ้น มวลสารต่างๆที่ประกอบขึ้นเป็นดวงดาวอยู่ในรูปของอะตอมและโมเลกุล
สำหรับเอกภพแล้วไม่มีสิ่งใดที่จะรองรับอะตอมและโมเลกุลเหล่านี้ อะตอมและโมเลกุลเหล่านี้มาจากที่ใด ยังคงเป็นปัญหาต่อไป มีความเห็นแตกต่างกันมากมายเกี่ยวกับกำเนิดเอกภพจนถึงปัจจุบันก็ยังมีข้อสรุปและไม่มีทฤษฎีที่แน่ชัด แต่ที่ไดรับการยอมรับที่สุด คือ ทฤษฎีการระเบิดใหญ่ (big-bang theory หรือทฤษฎีบิกแบง) โดย เลแมตร์ (G.Lemaitre) ได้กล่าวไว้ว่า ในอดีตเอกภพมีลักษณะเป็นรูปทรงกลมเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 6,400  กิโลเมตร  (4,000ไมล์) เลอร์แมตร์ เรียกทรงกลมที่เป็นจุดกำเนิดของสสารนี้ว่า "อะตอมดึกดำบรรพ์" (Primeval Atom) เป็นอะตอมขนาดยักษ์ นำหนักประมาณ 2 พันล้านตันต่อลูกบาศก์นิ้ว (ซึ่งขัดแย้งกับความเป็นจริงกับความหมายของอะตอมในปัจจุบันที่ให้ความหมายของอะตอม ว่าเป็นส่วยย่อยของโมเลกุล) อย่างไรก็ตามนักดาราศาสตร์ได้ถกเถียงและค้นหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับทฤษฎีนี้อย่างจริงจัง และกาโมว์ (G.Gamow) เป็นคนหนึ่งที่สนับสนุนทฤษฎีของเลอเมตร์ จากผลการคำนวณของกาโมว์ ในขณะที่อะตอมดึกดำบรรพ์ระเบิดขึ้น จะมีอุณภูมิสูงถึง 3 x 10^9 เคลวิน (3,000,000,000 เคลวิน) หลังจากเกิดการระเบิดประมาณ 5 วินาที อุณภูมิได้ลดลงเป็น 10^9 เคลวิน (1,000,000,000 เคลวิน) และเมื่อเวลาผ่านไป 3 x 10^8 ปี (300,000,000 ปี) อุณภูมิของเอกภพลดลงเป็น 200 เคลวิน ในที่สุดเอกภพก็ตกอยู่ในความมืดและเย็นไปนานมากจนกระทั่งมีดาราจักรเกิดขึ้น จึงเริ่มมีแสงสว่างและอุณภูมิเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ในปี พ.ศ.2472 ฮับเบิล (Edwin P.Hubble) ได้ศึกษาสเปกตรัมของดาราจักรต่างๆ 20 ดาราจักร ซึ่งอยู่ไกลที่สุดประมาณ 20 ล้านปีแสง พบว่าเส้นสเปกตรัมได้เคลื่อนไปทางแสงสีแดง ดาราจักรที่อยู่ห่างออกไปจะมีการเคลื่อนที่ไปทางแสงสีแดงมาก แสดงว่าดาราจักรต่างๆ กำลังคลื่นที่ห่างไกลออกไปจากโลกทุกทีทุกทีๆ พวกที่อยู่ไกลออกไปมากๆจะมีการเคลื่อนที่เร็วขึ้น ดาราจักรที่ห่างประมาณ2.5พันล้านปีแสง มีความเร็ว 38,000 ไมล์ต่อวินาที ส่วนพวกดาราจักร ที่อยู่ไกลกว่านี้มีควาเร็วมากขึ้นตามลำดับ ความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางของดาราจักรและ ความเร็วแห่งการเคลื่อนที่ เรียกว่า "กฎฮับเบิล" ทฤษฎีนี้อาจเรียกว่า "การระเบิดของเอกภพ" (Exploding Universe) ซึ่งก็สนับสนุนกับแนวคิดของเลแมตร์เช่นกัน

กำเนิดระบบสุริยะ

กำเนิดระบบสุริยะ
      ระบบสุริยะเกิดจากกลุ่มฝุ่นและก๊าซในอวกาศซึ่งเรียกว่า “โซลาร์เนบิวลา” (Solar Nebula) รวมตัวกันเมื่อประมาณ 4,600 ล้านปีมาแล้ว  (นักวิทยาศาสตร์คำนวณจากอัตราการหลอมรวมไฮโดรเจนเป็นฮีเลียมภายในดวงอาทิตย์)  เมื่อสสารมากขึ้น แรงโน้มถ่วงระหว่างมวลสารมากขึ้นตามไปด้วย กลุ่มฝุ่นก๊าซยุบตัวหมุนเป็นรูปจานตามหลักอนุรักษ์โมเมนตัมเชิงมุม ดังภาพที่ 1    แรงโน้มถ่วงที่ใจกลางสร้างแรงกดดันมากทำให้ก๊าซมีอุณหภูมิสูงพอที่จุดปฏิกิริยานิวเคลียร์ฟิวชัน หลอมรวมอะตอมของไฮโดรเจนให้เป็นฮีเลียม  ดวงอาทิตย์จึงถือกำเนิดเป็นดาวฤกษ์  

ภาพที่ 1  กำเนิดระบบสุริยะ

            วัสดุชั้นรอบนอกของดวงอาทิตย์มีอุณหภูมิต่ำกว่า ยังโคจรไปตามโมเมนตัมที่มีอยู่เดิม รอบดวงอาทิตย์เป็นชั้นๆ   มวลสารของแต่ละชั้นพยายามรวมตัวกันด้วยแรงโน้มถ่วง  ด้วยเหตุนี้ดาวเคราะห์จึงถือกำเนิดขึ้นเป็นรูปทรงกลม เนื่องจากมวลสารพุ่งใส่กันจากทุกทิศทาง   
            อิทธิพลจากแรงโน้มถ่วงทำให้วัสดุที่อยู่รอบๆ พยายามพุ่งเข้าหาดาวเคราะห์  ถ้าทิศทางของการเคลื่อนที่มีมุมลึกพอ ก็จะพุ่งชนดาวเคราะห์ทำให้ดาวเคราะห์นั้นมีขนาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากมวลรวมกัน  แต่ถ้ามุมของการพุ่งชนตื้นเกินไป ก็จะทำให้แฉลบเข้าสู่วงโคจร และเกิดการรวมตัวต่างหากกลายเป็นดวงจันทร์บริวาร  ดังเราจะเห็นได้ว่า ดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดี จะมีดวงจันทร์บริวารหลายดวงและมีวงโคจรหลายชั้น เนื่องจากมีมวลสารมากและแรงโน้มถ่วงมหาศาล  ต่างกับดาวพุธซึ่งมี
ขนาดเล็กมีแรงโน้มถ่วงน้อย ไม่มีดวงจันทร์บริวารเลย  วัสดุที่อยู่โดยรอบจะพุ่งเข้าหาดวงอาทิตย์ เพราะ
มีแรงโน้มถ่วงมากกว่าเยอะ
องค์ประกอบของระบบสุริยะ
 ดวงอาทิตย์ (The Sun)  เป็นดาวฤกษ์ที่อยู่ตรงตำแหน่งศูนย์กลางของระบบสุริยะและเป็นศูนย์กลาง
ของแรงโน้มถ่วง ทำให้ดาวเคราะห์และบริวารทั้งหลายโคจรล้อมรอบ

 

ภาพที่ 2  ระบบสุริยะคลิก เพื่อดูภาพเคลื่อนไหว
 ดาวเคราะห์ชั้นใน (Inner Planets)  เป็นดาวเคราะห์ขนาดเล็ก มีความหนาแน่นสูงและพื้นผิวเป็น
ของแข็ง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นธาตุหนัก มีบรรยากาศอยู่เบาบาง ทั้งนี้เนื่องจากอิทธิพลจากความร้อนของ
ดวงอาทิตย์และลมสุริยะ ทำให้ธาตุเบาเสียประจุ ไม่สามารถดำรงสถานะอยู่ได้   ดาวเคราะห์ชั้นใน
บางครั้งเรียกว่า ดาวเคราะห์พื้นแข็ง “Terrestrial Planets"เนื่องจากมีพื้นผิวเป็นของแข็งคล้ายคลึง
กับโลก  ดาวเคราะห์ชั้นในมี 4 ดวง คือ ดาวพุธ  ดาวศุกร์  โลก 
   และดาวอังคาร
 ดาวเคราะห์ชั้นนอก (Outer Planets)  เป็นดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ แต่มีความหนาแน่นต่ำ เกิดจาก
การสะสมตัวของธาตุเบาอย่างช้าๆ  ทำนองเดียวกับการก่อตัวของก้อนหิมะ เนื่องจากได้รับอิทธิพลของ
ความร้อนและลมสุริยะจากดวงอาทิตย์เพียงเล็กน้อย  ดาวเคราะห์พวกนี้จึงมีแก่นขนาดเล็กห่อหุ้มด้วย
ก๊าซจำนวนมหาสาร  บางครั้งเราเรียกดาวเคราะห์ประเภทนี้ว่า ดาวเคราะห์ก๊าซยักษ์ (Gas Giants) หรือ  Jovian Planets   ซึ่งหมายถึงดาวเคราะห์ที่มีคุณสมบัติคล้ายดาวพฤหัสบดี  ดาวเคราะห์ชั้นนอกมี 4 ดวง
คือ ดาวพฤหัสบดี    ดาวเสาร์ ดาวยูเรนัส และดาวเนปจูน
                                                                                    คลิก เพื่อดูภาพเคลื่อนไหว
 ดวงจันทร์บริวาร (Satellites)  โลกมิใช่ดาวเคราะห์เพียงดวงเดียวที่มีดวงจันทร์บริวาร  โลกมีบริวาร
ชื่อว่า “ดวงจันทร์” (The Moon)  ขณะที่ดาวเคราะห์ดวงอื่นก็มีบริวารเช่นกัน  เช่น ดาวพฤหัสบดีมี
ดวงจันทร์ขนาดใหญ่ 4 ดวงชื่อ ไอโอ (Io), ยูโรปา (Europa), กันนีมีด (ganymede) และคัลลิสโต (Callisto)  ดาวเคราะห์และดวงจันทร์ถือกำเนิดขึ้นพร้อมๆ กัน เพียงแต่ดวงจันทร์มิได้รวมตัวกับ
ดาวเคราะห์โดยตรง แต่ก่อตัวขึ้นภายในวงโคจรของดาวเคราะห์  เราจะสังเกตได้ว่า หากมองจากด้านบน
ของระบบสุริยะ  จะเห็นได้ว่า ทั้งดวงอาทิตย์    ดาวเคราะห์และดวงจันทร์ส่วนใหญ่  จะหมุนรอบตัวเองในทิศทวนเข็มนาฬิกา  และโคจรรอบดวงทิตย์ในทิศทวนเข็มนาฬิกาเช่นกันหากมองจากด้านข้างของ
ระบบสุริยะก็จะพบว่า    ทั้งดวงอาทิตย์ ดาวเคราะห์ และดวงจันทร์บริวาร จะอยู่ในระนาบที่ใกล้เคียงกับ
สุริยะวิถีมาก  ทั้งนี้ก็เนื่องมาจากระบบสุริยะทั้งระบบ ก็กำเนิดขึ้นพร้อมๆ กัน โดยการยุบและหมุนตัว
ของจานฝุ่น  
 ดาวเคราะห์แคระ (Dwarf Planets) เป็นนิยามใหม่ของสมาพันธ์ดาราศาสตร์สากล (International    Astronomical Union) ที่กล่าวถึง วัตถุขนาดเล็กที่มีรูปร่างคล้ายทรงกลม แต่มีวงโคจรเป็นรูปรี    ซ้อนทับกับดาวเคราะห์ดวงอื่น และไม่อยู่ในระนาบของสุริยะวิถี ซึ่งได้แก่ ซีรีส พัลลาส พลูโต    และดาวที่เพิ่งค้นพบใหม่ เช่น อีริส เซ็ดนา วารูนา  เป็นต้น (ดูภาพที่ 3 ประกอบ)

ภาพที่ 3  ขนาดของดาวเคราะห์แคระเปรียบเทียบกับโลก (ที่มา: NASA, JPL)
 ดาวเคราะห์น้อย  (Asteroids) เกิดจากวัสดุที่ไม่สามารถรวมตัวกันเป็นดาวเคราะห์ได้    เนื่องจากแรงรบกวนจากดาวเคราะห์ขนาดใหญ่ เช่น ดาวพฤหัสบดี และดาวเสาร์  ดังเราจะพบว่า   ประชากรของดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่อยู่ที่ “แถบดาวเคราะห์น้อย” (Asteroid belt)   ซึ่งอยู่ระหว่างวงโคจรของดาวอังคารและดาวพฤหัสบดี   ดาวเคราะห์แคระเช่น เซเรส   ก็เคยจัดว่าเป็นดาวเคราะห์น้อยที่มีขนาดใหญ่ที่สุด (เส้นผ่านศูนย์กลาง 900 กิโลเมตร)    ดาวเคราะห์น้อยส่วนใหญ่จะมีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นรูปรีมาก  และไม่อยู่ในระนาบสุริยะวิถี   ขณะนี้มีการค้นพบดาวเคราะห์น้อยแล้วประมาณ 3 แสนดวง

ภาพที่ 4  แถบดาวเคราะห์น้อย (ที่มา: Pearson Prentice Hall, Inc)
 ดาวหาง (Comets) เป็นวัตถุขนาดเล็กเช่นเดียวกับดาวเคราะห์น้อย    แต่มีวงโคจรรอบดวงอาทิตย์เป็นวงยาวรีมาก  มีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นก๊าซในสถานะของแข็ง    เมื่อดาวหางเคลื่อนที่เข้าหาดวงอาทิตย์ ความร้อนจะให้มวลของมันระเหิดกลายเป็นก๊าซ    ลมสุริยะเป่าให้ก๊าซเล่านั้นพุ่งออกไปในทิศทางตรงข้ามกับดวงอาทิตย์ กลายเป็นหาง
 วัตถุในแถบไคเปอร์ (Kuiper Belt Objects) เป็นวัตถุที่หนาวเย็นเช่นเดียวกับดาวหาง   แต่มีวงโคจรอยู่ถัดจากดาวเนปจูนออกไป บางครั้งจึงเรียกว่า Trans Neptune Objects    ทั้งนี้แถบคุยเปอร์จะอยู่ในระนาบของสุริยะวิถี โดยมีระยะห่างออกไปตั้งแต่ 40 – 500 AU (AU ย่อมาจาก   Astronomical Unit หรือ หน่วยดาราศาสตร์ เท่ากับระยะทางระหว่างโลกถึงดวงอาทิตย์ หรือ 150   ล้านกิโลเมตร)   ดาวพลูโตเองก็จัดว่าเป็นวัตถุในแถบคุยเปอร์ รวมทั้งดาวเคราะห์แคระซึ่งค้นพบใหม่ เช่น อีริส   เซ็ดนา วารูนา  เป็นต้น  ปัจจุบันมีการค้นพบวัตถุในแถบไคเปอร์แล้วมากกว่า 35,000 ดวง

ภาพที่ 5  แถบไคเปอร์ และวงโคจรของดาวพลูโต (ที่มา: NASA, JPL)
 เมฆออร์ท (Oort Cloud)  เป็นสมมติฐานที่ตั้งขึ้นโดยนักดาราศาสตร์ชาวเนเธอร์แลนด์ชื่อ แจน ออร์ท (Jan Oort) ซึ่งเชื่อว่า ณ สุดขอบของระบบสุริยะ รัศมีประมาณ 50,000 AU จากดวงอาทิตย์  ระบบสุริยะ
ของเราห่อหุ้มด้วยวัสดุก๊าซแข็ง ซึ่งหากมีแรงโน้มถ่วงจากภายนอกมากระทบกระเทือน   ก๊าซแข็งเหล่านี้ก็จะหลุดเข้าสู่วงโคจรรอบดวงอาทิตย์ กลายเป็นดาวหางวงโคจรคาบยาว (Long-period   comets)
ภาพที่ 6 ตำแหน่งของแถบไคเปอร์และเมฆออร์ท (ที่มา: NASA, JPL)

ข้อมูลที่น่ารู้

    ระบบสุริยะมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 12,000 ล้านกิโลเมตร
    99% ของเนื้อสารทั้งหมดของระบบสุริยะ รวมอยู่ที่ดวงอาทิตย์
    ในปัจจุบันถือว่า ดาวเคราะห์มี 8 ดวง  ดาวพลูโต   ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่ เช่น ซีรีส จูโน พัลลาส เวสตา  และวัตถุไคเปอร์ที่มีขนาดใหญ่ เช่น อีรีส เซดนา  ถูกจัดประเภทใหม่ว่าเป็น ดาวเคราะห์แคระ
    ดาวศุกร์มีอุณหภูมิพื้นผิวที่สูงสุดในระบบสุริยะ (ร้อนกว่าดาวพุธ) เนื่องจากมีภาวะเรือนกระจก
    ดวงจันทร์บริวารขนาดใหญ่ที่โคจรรอบดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ ที่ถูกค้นพบแล้ว มีจำนวนไม่น้อยกว่า 130 ดวง
    นักดาราศาสตร์ค้นพบดาวเคราะห์น้อยจำนวนมากกว่า 300,000 ดวง  ส่วนใหญ่อยู่ในแถบดาวเคราะห์น้อย  ระหว่างวงโคจรของดาวอังคาร และดาวพฤหัสบดี  นอกจากนั้นยังมีกลุ่มดาวเคราะห์น้อยโทรจัน  ซึ่งอยู่ร่วมวงโคจรกับดาวพฤหัสบดี  และยังมีดาวเคราะห์น้อยบางดวงโคจรเข้าใกล้โลกมากกว่าดวงจันทร์
    ดาวเคราะห์น้อยบางดวงมีดวงจันทร์บริวารด้วย เช่น ดาวเคราะห์น้อยไอดา (Ida) ขนาด 28 x 13 กิโลเมตร  มีดวงจันทร์แดคทิล (Dactyl)ขนาด 1 กม. โดยมีรัศมีวงโคจร 100 กิโลเมตร
    ดาวพลูโตที่จัดว่าเป็นดาวเคราะห์แคระ มีดวงจันทร์บริวารที่ค้นพบแล้ว 3 ดวง


ภาควิชาวิทยาศาสตร์ทางทะเล คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, จตุจักร กทม. 10900
ที่มาของข้อมูล :วารสารเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ปีที่ 1 ฉบับที่ 1 
 คำสำคัญ : ปลาทะเลมีพิษ, สารชีวพิษ, ปลาปักเป้า, เทโทรโดท็อกซิน, โรคศิกัวเทอรา, สารศิกัวท็อกซิน, สารสคาริท็อกซิน, สารไมโตท็อกซิน, ปลานกแก้ว, ปลาสาก, ปลากะพง, ปลาหมอทะเล, ปลาไหลมอเรย์, ปลาขี้ตังเป็ด, ปลากระเบน, ปลาดุกทะเล, ปลกกดทะเล, ปลากะรังหัวโขน, ปลาสสิดทะเล, ปลาตะกรับ, ไดโนแฟลกเอลเลต 

 
        ปลาทะเลเป็นอาหารที่มีผู้นิยมบริโภคเพราะมีรสอร่อย, คุณค่าทางอาหารสูงและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามมีปลาทะเลหลายชนิดที่พบว่าอาจก่ออันตรายต่อมนุษย์ เนื่องจากมีสารชีวพิษ (biotoxin) สะสมอยู่ในตัว ซึ่งเข้าสู่คนโดยการบริโภคหรือโดยการสัมผัสเช่น ถูกตำแทง 
ปลาทะเลที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการบริโภค
        กรณีที่รู้กันอย่างแพร่หลายคืออันตรายที่ได้รับพิษจากการบริโภคปลาปักเป้าและปลาที่ก่อโรค ศิกัวเทอรา 
ปลาปักเป้า                                                                                                                                      
         
         ในทะเลไทยมีปลาปักเป้าอยู่ไม่น้อยกว่า 23 ชนิด1 จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้า (Family Tetrodontidae) และวงศ์ปลาปักเป้าหนามทุเรียน  (Family Diodontidae) (รูปที่ 1)ปลาปักเป้ามีขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ (10-40 เซนติเมตร) , มีลักษณะเฉพาะตัว คือ ลำตัวกลม ยาว , หัวโต ปากเล็ก 
          บางชนิดมีฟันและปากคล้ายนกแก้ว, ครีบอกและครีบหางใหญ่, ครีบหลังและครีบกันเล็ก, หนังเหนียว, ส่วนมากมีตุ่ม หรือหนามกระจายทั่วตัวปลาปักเป้าจะพองตัวเมื่อตกใจหรือถูกรบกวน , อาศัยอยู่ตามท้องทะเลที่เป็นทรายหรือทรายปนโคลน มักจับได้ด้วยเครื่องมืออวนลากหน้าดิน  ปลาปักเป้าชนิดที่มีรายงานว่าเป็นพิษต่อผู้บริโภคและพบในน่านน้ำไทย ได้แก่ปลาปักเป้าลาย [ Spheroids scleratus (Gmelin) ] , ปลาปักเป้า [ Tetrodon hispidus (Lac.) ], ปลาปักเป้าดำ [ Tetrodon stellatus (BI. & Schn.)] เป็นต้น 2 
 







รูปที่ 1 ปลาปักเป้า (Family Tetrodontidae) (ก). และ ปลาปักเป้าหนามทุเรียน (Family Diodontidae (ข))

พิษและอาการ 
           พิษในปลาปักเป้าเป็นพิษจำพวก Tetrodotoxin (TTXs)3,4 มีสูตรโครงสร้างโมเลกุลเป็น C11H17O8N3 ไม่สลายตัวด้วยความร้อนแต่ละลายในน้ำหรือแอลกอฮอล์ได้ดี สารพิษมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน เกิดอาการอัมพาต ในกรณีที่ได้รับพิษจำนวนมากทำให้ระบบประสาทส่วนกลางไม่สามารถควบคุมการหายใจและการเต้นของหัวใจจนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้ 
               สารพิษชนิดนี้ นอกจากพบในปลาปักเป้าแล้ว ยังตรวจพบในสัตว์ทะเลที่ใช้เป็นอาหารอีกหลายชนิด เช่น หมึกสายบางชนิด, หอยกาบเดี่ยวบางชนิด และปลาชนิดอื่นๆ ความรุนแรงของพิษ TTXs ขึ้นกับสัตว์ทะเลแต่ละชนิดแต่ละตัวและชนิดของเนื้อเยื้อ ตับและรังไข่มักจะมีความรุนแรงของพิษสูง อย่างไรก็ตามพบว่ามีสัตว์เฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่สามารถสะสมสารพิษ TTXs ไว้ในตัวได้
               การสะสมสารพิษ TTXs เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจ และผลจากการศึกษาวิจัยหลายเรื่องที่อธิบายว่าแบคทีเรียหลายชนิดทั้งที่อาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์ทะเลและที่อยู่เป็นอิสระเป็นผู้สร้างสารพิษนี้ขึ้นเช่น Vibrio alginolyticus, Pseudomonas sp. 4,5 

ปลาที่ก่อให้เกิดโรค ศิกัวเทอรา 
               Ciguatera เป็นชื่อที่ใช้เรียกชื่อโรคที่เกิดจากการบริโภคปลาทะเลหลายๆ ชนิด ซึ่งมักจะเป็นปลาที่อาศัยในแนวปะการัว โดยเฉพาะในทะเลคาริบเบียน, ทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นของมหาสมุทรแปซิฟิก คำว่า Cigua เป็นภาษาสเปนที่ใช้เรียกหอยทะเลในกลุ่มหอยตาวัวชนิด Turbo pica ผู้ที่บริโภคหอยชนิดนี้เกิดมีอาการผิดปรกติทางระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร จึงได้ถูกนำมาใช้เรียกโรคที่เกิดจากการบริโภคปลาแล้วผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวด้วย ปลาทะเลที่มีรายงานว่ามีพิษได้แก่ ปลาไหลมอเรย์, ปลากะรัง, ปลาสาก, ปลากะพง, ปลาหมอทะเล เป็นต้น 
พิษและอาการ 
               ในปลาทะเลที่มีพิษ พิษจะสะสมอยู่ในเนื้อและอวัยวะภายใน ปลาต่างชนิดอาจพบพิษต่างกันเช่น ในปลาไหลมอเรย์พบสารชีวพิษ ciguatoxin (CTX) ที่มีสูตรโครงสร้างโมเลกุล C60H86NO19 6, ในปลานกแก้ว (Scarus gibbus) นอกจากจะมี ciguatoxin แล้วยังพบ scaritoxin ด้วย, ส่วนในปลาขี้ตังเป็ด ( Ctenochaetus strigosus ) พบสารชีวพิษชนิด maitotoxin (MTX). 
                    การศึกษาความเป็นพิษของปลาที่เกาะ Gambier พบว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวพวก dinoflagellate ชนิด Gambierdiscus toxicus ซึ่งอาศัยอยู่บนซากปะการังและบนสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ เมื่อพบพวกไดโนแฟลกเอลเลต ชนิดนี้มากก็จะพบปลาที่มีมากขึ้นด้วย 7ปลาที่มีพิษมักเป็นปลาที่กินพืช เมื่อปลากินสาหร่ายก็จะกินไดโนแฟลกเอลเลต เข้าไปด้วย และยังพบในปลากินเนื้อจากการถ่ายทอดพิษทางห่วงโซ่อาหาร พิษจะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ และถ่ายทอดมาถึงคนที่เป็นผู้บริโภคขั้นสูงสุด สารพิษนี้ถ้ามีปริมาณน้อยจะไม่มีผลมากนัก , แต่ถ้าได้รับสารพิษปริมาณมากอาจมีอาการรุนแรง 
                    การเลี้ยงและขยายพันธุ์ Gambierdiscus toxicus ในห้องปฏิบัติการเพื่อนำมาสกัดสารพิษ พบว่าได้สารพิษชนิด MTX ในปริมาณมาก และมีสารพิษที่คล้ายกับ CTX อยู่ด้วย, จึงเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของพิษในปลาทะเลคือ ไดโนแฟลกเอลเลต บางชนิด นอกจากชนิดที่กล่าวมาแล้ว ยังอาจมีชนิดอื่นๆ ที่ผลิตสารพิษได้ด้วย ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับไดโนเฟลกเอลเลต ที่อยู่ตามปะการังหรือสาหร่ายที่เรียก benthic dinoflagellate มีแต่เพียงคำบอกเล่าว่าการบริโภคปลาทะเลบางชนิดทำให้มีอาการผิดปรกติเกิดขึ้น 
                  ผู้ที่เป็นโรค ศิกัวเทอรา นั้นพบว่าจะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 30 ชั่วโมงหลังจากบริโภคปลาที่มีพิษ อาการจะแสดงออกเร็วหรือช้า มากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณสารพิษที่ได้รับและความต้านทานของผู้ป่วยเอง อาการที่ปรากฏอาจจะมีทั้งอาการทางระบบประสาทและอาการทางระบบทางเดินอาหาร , หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง, และอาการยังคงอยู่เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ อาการระยะแรกได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน จากนั้นจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ, ชาตามมือ เท้า ริมผีปาก ลิ้น , หน้ามืด วิงเวียน ตาฟาง หัวใจเต้นผิดปรกติ , มีผื่นแดงตามผิวหนัง อาจทำให้ผิวหนังหลุดหรือถลอกได้ง่าย 
 
ปลาทะเลที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการสัมผัส 
                 ปลาจำนวนมากมีอวัยวะป้องกันตัวในรูปแบบต่างๆ เช่น ฟัน หนาม ก้านครีบแข็ง , ซึ่งเมื่อไปทิ่ม แทงหรือตำจะทำให้เกิดบาดแผล ปลาบางพวกยังสามารถสร้างสารพิษที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ พิษเหล่านี้สร้างโดยต่อมพิษ (venom gland) ที่อยู่ในเนื้อเยื่อที่หุ้มหนามหรือหนังที่ปกคลุมบริเวณหนามหรือที่ตัวหนาม ปลาทะเลที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยการทิ่ม แทง ตำมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้ 
1. กลุ่มปลากระแบน (stingray) 
                 
      ปลากระเบนมีลำตัวแบน , ครีบอกขนาดใหญ่แผ่ออกข้างตัว ทำให้เห็นลำตัวเป็นแผ่นรูปร่างเกือบกลมคล้ายว่าวหรือจาน ส่วนหางเรียวคล้ายแส้แยกออกจากลำตัวเห็นชัดเจนมีหนามแหลมบริเวณโคนหางด้านบน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละชนิด (รูปที่ 2) หนามเป็นแท่งแบน ยาว ปลายแหลม ขอบทั้งสองข้างมีรอยหยักเป็นฟันเลื่อย, ด้านบนมีร่องจากโคนถึงปลาย กลุ่มเซลล์สร้างพิษหรือต่อมพิษ (venom gland) อยู่ใต้ผิวชั้นนอก (epidermis) (รูปที่3)   ปลากระเบนที่มีพิษรุนแรงในน่านน้ำไทยได้แก่วงศ์ปลากระเบนธง (Family Trygonidae) สกุล Dasyatis และ Pteroplatea และวงศ์กระเบนนก (Family Myliobatidae)สกุล Aetobatus.           
      ผู้ที่ถูกหนามหรือเงี่ยงปลากระเบน แผลมีลักษณะคล้ายแผลมีดบาด การที่เงี่ยงปลากระเบน แผลมีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย เมื่อชักเงี่ยงออกจากบาดแผลทำให้แผลฉีกมากขึ้น หลังถูกตำจะมีอาการปวดเป็นระยะๆ ต่อมาแผลจะอักเสบ บวม อย่างไรก็ตามปลากระเบนไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว อันตรายมักเกิดจากการเหยียบปลากระเบนที่ฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย หรือทรายปนโคลน (รูปที่ 4) 

รูปที่ 2 รูปร่างของหนามปลากระเบนแบบต่าง ๆ 

รูปที่ 3 ภาพตัดขวางของหนวดปลากระเบน แสดงเซลล์สร้างพิษหรือต่อมพิษ
รูปที่ 4  อันตรายจากปลากระเบน
 
2. กลุ่มปลาดุกทะเลและปลากดทะเล (sea catfish) 
               ปลาดุกทะเล เป็นปลาไม่มีเกล็ด , ลำตัวปกคลุมด้วยเมือกลื่น , รูปร่างเรียวยาว ด้านข้างแบน, ส่วนหัวแบนลงมีหนวด 4 คู่ อยู่ที่บริเวณรูจมูก 1 คู่, ริมฝีปาก 1 คู่ และใต้คาง 2 คู่ , ครีบหลังอันที่สอง ครีบก้นและครีบหางติดต่อกันครีบหลังและครีบอกมีก้านครีบแข็งซึ่งมีลักษณะเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อย ขนาดใหญ่แข็งแรง ปลาในกลุ่มนี้ได้แก่ วงศ์ปลาดุกทะเล (Family Plotosidae) (รูปที่ 5) เช่น สกุล Plotosus. 
รูปที่ 5 ปลาดุกทะเล (Family Plotosidae)     
                 ปลากดทะเล เป็นปลาไม่มีเกล็ด, ลำตัวมีเมือกลื่น, หัวแบนปกคลุมด้วยกระดูกเป็นสันและเป็นตุ่มเม็ดหยาบๆ ครีบหางรูปส้อม , ครีบหลังอันแรกและครีมอกมีก้านครีบแข็งซึ่งมีลักษณะเป็นหยักคมคล้ายฟันเลื่อยขนาดใหญ่ , มีต่อมพิษอยู่ที่ผิวของเยื่อที่คลุมก้านครีบและที่ตอนกลางของกระดูกก้านครีบ (รูปที่ 6) 8 ปลาในกลุ่มนี้ได้แก่วงศ์ปลากดทะเล (Family Tachysuridae) (รูปที่ 7) เช่น สกุล Tachysurus.               
รูปที่ 6 ลักษณะก้านครีบแข็งและต่อมพิษของปลากดทะเลรูปที่ 7 ปลากดทะเล (Family Tachysuridae)

              อันตรายจากปลากลุ่มนี้เกิดจากไปสัมผัสโดนก้านครีบแข็งบริเวณครีบหลังและครีบอกโดยเฉพาะขณะที่จับปลาเพื่อปลดออกจากเครื่องมือประมง เช่น เบ็ด แห หรืออวน, หรืออาจเกิดจากการไปเหยียบถูกเนื่องจากทั้งปลาดุกและปลากดทะเลเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามหน้าดิน และอาจมาหากินตามที่น้ำตื้นหรือปากแม่น้ำ พิษของปลากลุ่มนี้มีผลคล้ายกับพิษของปลากระเบน เมื่อถูกตำจะเจ็บปวดทันที ปลาขนาดเล็กมีผลทำให้เจ็บปวดนานประมาณ 30 – 60 นาที ส่วนปลาขนาดใหญ่อาจมีผลทำให้เจ็บปวดนานถึง 48 ชั่วโมง และบาดแผลบวมอักเสบ 
3. กลุ่มปลากะรังหัวโขน (stone fish)  
               ปลากะรังหัวโขนมีลำตัวป้อมเกือบกลม หัวขนาดใหญ่ส่วนหัวมีหนามจำนวนมาก , ลำตัวสากและมีหนามเล็กๆ , หนังหนาและเป็นปุ่ม, เกล็ดละเอียด บางชนิดไม่มีเกล็ด, ครีบหลังยาว, ครีบอกกว้าง มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลัง ครีบอก และครีบท้อง ก้านครีบแข็งมีลักษณะเป็นหนาม ต่อมพิษของก้านครีบแข็งอยู่ใต้ชั้นผิวโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ (Connective tissue) (รูปที่ 8) พิษจะถูกปล่อยออกเมื่อเยื่อหุ้มหนามฉีกขาด อันตรายเกิดจากการไปสัมผัสถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่างๆ และหนามบริเวณหัว เนื่องจากปลากลุ่มนี้ชอบอยู่นิ่งๆ ทำให้ดูคล้ายก้อนหินจึงอาจไปสัมผัสหรือเหยียบได้ พิษมีความรุนแรงมากเมื่อถูกตำหรือบาดจะปวดและบวมทันที ความเจ็บปวดอาจอยู่นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ในกรณีที่รับพิษจำนวนมากหรือแพ้ ผู้ป่วยอาจมีอาการคอแห้ง, ปวดเมื่อยตามข้อต่างๆ , ซึม เพ้อ ไม่ได้สติ , จนเสียชีวิตได้ในที่สุด ปลาในกลุ่มนี้อาศัยตามพื้นท้องทะเล จัดอยู่ใน 2 วงศ์ คือ วงศ์ปลาแมงป่อง (Family Scorpaenidae) เช่นสกุล Scorpaenopsis และวงศ์ปลาหิน (Family Synanceidae) (รูปที่ 9) เช่นสกุล Synanceia. 
 
รูปที่ 8 ลักษณะหนามและต่อมพิษของปลากะรังหัวโขนวงศ์ปลาแมงป่อง (ก) และวงศ์ปลาหิน (ข)
รูปที่ 9 ปลาหิน (Family Synanceidae)
 
4. กลุ่มปลาสิงห์โต (scorpaenoid fish)  
              
         รูปที่ 10 ลักษณะหนามและต่อมพิษของปลาสิงห์โต         ปลาสิงห์โตมีลำตัวยาวปานกลาง, แบนข้างเล็กน้อย, หัวขนาดใหญ่, ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูกและมีหนามจำนวนมาก, เกล็ดขนาดเล็ก, ครีบหลังและครีบอกขนาดใหญ่แผ่กว้าง โดยทั่วไปครีบอกมีขนาดใหญ่แหลมคม ต่อมพิษมีลักษณะคล้ายกับปลากะรังหัวโขน (รูปที่ 10) หัวและลำตัวมีแถบลายสีน้ำตาลปนแดง (รูปที่ 11) ปลาสิงห์โตมักว่ายช้าๆ หรือลอยตัวนิ่งๆ ตามแนวปะการัง และบริเวณแนวหินในเขตน้ำตื้นชายฝั่งทั่วไป นักท่องเที่ยวชอบเข้าไปจับเล่นเนื่องจากดูสวยงามและคิดว่าไม่เป็นอันตราย พิษของปลาสิงห์โตเหมือนกับพิษของปลากะรังหัวโขน แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า ปลาสิงห์โตจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับปลาแมงป่อง (FamilyScorpaenidae) สกุล Pterois. 
 รูปที่ 11 ปลาสิงห์โต (Family Scorpaenidae)
 
 5. กลุ่มปลาขึ้ตังเป็ด (surgeon fish) 
              ปลาขึ้ตังเป็ดมีลำตัวป้อมแบน, หนังหนา เกล็ดเล็ก, ครีบหลังและครีบก้นยาว , บริเวณลำตัวและครีมมีสีสันสวยงามมาก อันตรายเกิดจากการสัมผัสหนามซึ่งอยู่บริเวณโคนหาง (รูปที่ 13) เช่นสกุล Acanthurus และ Ctenochaetus พิษของปลาขี้ตังเป็ดมีผลคล้ายกับพิษของปลากะรังหัวโขนแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า 
รูปที่ 12 ลักษณะของหนามของปลาขี้ตังเป็ด
รูปที่ 13 ปลาขี้ตังเป็ด (Family Acanthurus)
6. กลุ่มปลาสลิดทะเล (rabbit fish) 
               ปลาสลิดทะเลมีรูปร่างแบนป้อม, ลำตัวแบนข้าง, หัวขนาดเล็ก, เกล็ดเล็กละเอียด, ครีบหลังและครีบก้นยาว มีก้านครีบแข็งที่ครีบหลัง, ครีบท้องและครีบก้นซึ่งมีลักษณะแหลมคมและแข็ง, มักพบในเขตชายฝั่ง ตามพื้นท้องทะเล กองหิน แนวปะการัง และแนวหญ้าทะเล, จัดอยู่ในวงศ์ปลาสสิดทะเล (Family Siganidae) (รูปที่ 14) ได้แก่สกุล Siganus อันตรายเกิดจากการถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่างๆ ตำ แทง เมื่อถูกตำจะเจ็บปวดมาก แต่ไม่มีรายงานว่ามีต่อมพิษ 
รูปที่ 14 ปลาสลิดทะเล (Family Siganidae)
7.กลุ่มปลาตะกรับ (spotted butter fish) 
                ปลาตะกรับมีลำตัวป้อมสั้น แบนข้าง, หัวเล็ก, หนังหนา เกล็ดขนาดเล็ก, ครีบหลังยาว, สีพื้นลำตัวด้านล่างมีสีน้ำเงินอมเขียว, ด้านท้องสีขาวเงิน, ตลอดลำตัวและครีบมีจุดสีเป็นวงสีน้ำตาลอมเทา, มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลังครีบท้อง และครีบก้น ได้แก่วงค์ปลาตะกรับ (Family Scatophagidae) (รูปที่ 15) เช่น สกุล Scatophagus อันตรายเกิดจากถูกก้านครีบแทง ตำ ซึ่งมักเกิดขณะปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง
 
รูปที่ 15 ปลาตะกรับ (Family Scatophagidae)
 

 
เอกสารอ้างอิง 
  1. สุภาพ มงคลประสิทธิ์, สืบสน สนธิรัตน์, สุรีย์ วิมลโลหการ, ทวีศักดิ์ ทรงศิริกุล. Checklist of fishes in Thailand. Office of Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand 1997:353. 
  2. กรมประมง. สัตว์ทะเลที่เป็นภัยต่อชีวิต. หน่วยสำรวจแหล่งประมง, กรมประมง. 2511:179. 
  3. Halsted BW. Posinonous and venomous marine animals of the world. New Jersey: The Darwin Press, Inc., 1978:1043.
  4. Tamplin ML. A bacterial sources of tetrodotoxins and saxitoxins. In: Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington DC: American Chemical Society, 1990:78-86. 
  5. ทวีศักดิ์ ปิยะกาญจน์, กาญจนา จันทองจีน, สุชนา วิเศษสังข์. สารชีวพิษที่เป็นสารกีดขวางช่องโซเดียมในสิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิดในประเทศไทย. สารศิริราช 2539; 48(ฉบับผนวก):83-99. 
  6. Yasumoto T, Murata M. Polyether toxins involved in seafood poisoning. In: Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington, DC: American Chemical Society, 1990;120-32. 
  7. Frelin C, Duran-Clement M, Bidard J, Lazdunski M. The molecular basis of ciguatoxin action. In : Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington DC: American Chemical Society, 1990:192-9. 
  8. Rifkin J, Williamson J. Venomous fish. In: Williamson J. Fenneer PJ, Burnett JW, Rifkin JF, eds. Venomous and posionous marine animals. Sydney: University of New South Wales Press, 1996:355-9.

ประวัติดอกกุหลาบ พร้อม ความหมายของดอกกุหลาบ

ประวัติดอกกุหลาบ พร้อม ความหมายของดอกกุหลาบ


ดอกกุหลาบ




เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
          เคยได้ยินคำเปรียบเปรยไหมที่ว่า ผู้หญิงสวยแต่เต็มไปด้วยเล่ห์เหลี่ยมก็เปรียบได้ดัง "ดอกกุหลาบ" เพราะดอกกุหลาบนั้น แม้จะมีรูปร่างภายนอกที่สวยงามรวมถึงกลิ่นที่หอมชวนดม แต่มันก็มีหนามแหลม หากไม่ระวังอาจโดนบาดได้ง่าย ๆ

          กุหลาบนั้นมีชื่อสามัญว่า "Rose" ชื่อทางพฤกษาศาสตร์ว่า "Rosa hybrids" และมีชื่อวงศ์ว่า "Rosaceae" ขยายพันธุ์โดยการตอนกิ่ง ลักษณะของกุหลาบนั้นมีทั้งไม้พุ่มและไม้เลื้อย ลำต้นและกิ่งจะมีหนาม ส่วนดอกของกุหลาบจะมีทั้งดอกเดี่ยวและเป็นช่อ กลีบดอกมีลักษณะใหญ่ มีไม่ต่ำกว่า 5 กลีบ กุหลาบนั้นมีกลิ่นหอมชวนดม และมีหลายสี เช่น แดง ขาว เหลือง ชมพู ฯลฯ อีกทั้งยังมีหลายชนิดด้วย

          ซึ่งคำว่ากุหลาบนั้นมาจากคำว่า "คุล" ที่ในภาษาเปอร์เซียแปลว่า "สีแดง ดอกไม้ หรือดอกกุหลาบ" โดยในภาษาฮินดีก็มีคำว่า "คุล" แปลว่า "ดอกไม้" และคำว่า "คุลาพ" ก็หมายถึงกุหลาบอย่างที่ไทยเราเรียกกัน แต่ออกเสียงเป็น "กุหลาบ" ส่วนคำว่า "Rose" ในภาษาอังกฤษนั้นมาจากคำว่า "Rhodon" ที่แปลว่ากุหลาบในภาษากรีก


ดอกกุหลาบ

ดอกกุหลาบ

          โดยกุหลาบเป็นดอกไม้ที่นิยมปลูกมาแต่โบราณ ว่ากันว่ากุหลาบเกิดขึ้นเมื่อ 70 ล้านปีมาแล้ว และเคยมีการค้นพบฟอสซิลของกุหลาบที่ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยแต่ก่อนกุหลาบนั้นเป็นกุหลาบป่าและมีรูปร่างไม่เหมือนในทุกวันนี้ แต่เนื่องจากมนุษย์ได้นำเอากุหลาบป่ามาปลูกและผสมพันธุ์จนขยายเป็นพันธุ์ต่าง ๆ มากมาย

          ตามประวัติศาสตร์เล่าว่ากุหลาบป่าถูกนำมาปลูกไว้ในพระราชวังของจักรพรรดิ์ ในสมัยราชวงศ์ฮั่นราว 5,000 ปีมาแล้ว ขณะที่อียิปต์เองก็ปลูกกุหลาบเป็นไม้ดอกส่งไปขายให้แก่ชาวโรมัน เพราะชาวโรมันเป็นชาติที่รักดอกกุหลาบมาก แม้ว่าจะสั่งซื้อจากประเทศอียิปต์แล้วก็ตาม แต่ก็ยังลงทุนสร้างสถานที่ขนาดใหญ่สำหรับปลูกดอกกุหลาบอีกด้วย เพราะสำหรับชาวโรมันแล้วดอกกุหลาบนั้นมีความสำคัญต่อชีวิตประจำวัน อีกทั้งชาวโรมันถือว่าดอกกุหลาบเป็นสัญลักษณ์ของความรัก เป็นทั้งของขวัญ และเป็นดอกไม้สำหรับทำมาลัยต้อนรับแขก รวมถึงเป็นดอกไม้สำหรับงานฉลองต่าง ๆ แถมยังเป็นส่วนประกอบสำหรับทำขนม ทำไวน์ และยาได้อีกด้วย

          และเมื่อเอ่ยถึงดอกกุหลาบแล้ว หลาย ๆ คนก็คงจะนึกถึงเรื่องความรัก เพราะกุหลาบถือเป็นสัญลักษณ์ของความรักและความโรแมนติก โดยมีบางตำนานเล่าว่า ดอกกุหลาบเป็นเสมือนเครื่องหมายแทนการกำเนิดของ เทพธิดาวีนัส ซึ่งเป็นเทพแห่งความงามและความรัก วีนัสเป็นที่รู้จักกันในชื่อ อโฟรไดท์ ในตำนานเทพของกรีกได้กล่าวไว้ว่า น้ำตาของเธอหยดลงปะปนกับเลือดของ อคอนิส คนรักของเธอที่ถูกหมูป่าฆ่า เลือดและน้ำตาหยดลงสู่พื้นแล้วกลายเป็นดอกไม้สีแดงเข้มหรือดอกกุหลาบนั่นเอง แต่บางตำนานก็เล่าว่าดอกกุหลาบเกิดจากเลือดของ อโฟรไดท์ เองที่หยดลงสู่พื้น เมื่อเธอแทงตัวเองด้วยหนามแหลม

          แม้จะไม่มีการบันทึกอย่างชัดเจนว่าดอกกุหลาบนั้นเข้ามาเกี่ยวข้องกับบ้านเราตอนไหน แต่จากบันทึกของ ลา ลูแบร์ ราชทูตฝรั่งเศสในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้บันทึกไว้ว่าเห็นกุหลาบที่กรุงศรีอยุธยา และในกาพย์ห่อโคลงนิราศธารโศกสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพระราชนิพนธ์ของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ ก็ได้มีการกล่าวถึงกุหลาบเอาไว้ และยังมีตำนานดอกกุหลาบของไทยที่เป็นบทละครพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ 6 เรื่อง มัทนะพาธา ในเรื่องเล่าถึงเทพธิดาองค์หนึ่งชื่อ "มัทนา" ซึ่งได้มีเทพบุตรองค์หนึ่งชื่อ "สุเทษณะ" ซึ่งพระองค์ทรงหลงรักเทพธิดา "มัทนา" มาก แต่นางไม่มีใจรักตอบ จึงถูกสาปให้ไปเกิดเป็นดอกกุหลาบ จึงกลายเป็นตำนานดอกกุหลาบแต่นั้นมา

          โดยดอกกุหลาบนั้นสามารถสื่อความหมายได้หลายอย่าง อาทิ
ดอกกุหลาบ 

 สีกุหลาบสื่อความหมาย

           สีแดง สื่อความหมายถึง ความรักและความปราถนา เป็นดอกไม้ของกามเทพ คิวปิด และอีรอส เป็นสิ่งนำโชคนำความรักมาให้แก่หญิงหรือชายที่ได้รับ

          สีชมพู สื่อความหมายถึง ความรักที่มีความสุขอย่างสมบูรณ์

          สีขาว สื่อความหมายถึง ความมีเสน่ห์ ความบริสุทธิ์ มิตรภาพ และความสงบเงียบ และนำโชคมาให้แก่หญิงหรือชายเช่นเดียวกับกุหลาบแดง

          สีเหลือง สื่อความหมายถึง เราเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันเสมอนะ

          สีขาวและแดง สื่อความหมายถึง ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

          สีส้ม สื่อความหมายถึง ฉันรักเธอเหมือนเดิม

ดอกกุหลาบ
จำนวนกุหลาบสื่อความหมาย

          1 ดอก รักแรกพบ
          2 ดอก แสดงความรู้สึกที่ดีให้กัน
          3 ดอก ฉันรักเธอ
          7 ดอก คุณทำให้ฉันหลงเสน่ห์
          9 ดอก เราสองคนจะรักกันตลอดไป
          10 ดอก คุณเป็นคนที่ดีเลิศ
          11 ดอก คุณเป็นสมบัติชิ้นที่มีค่าชิ้นเดียวของฉัน
          12 ดอก ขอให้เธอเป็นคู่ของฉันเพียงคนเดียว
          13 ดอก เพื่อนแท้เสมอ
          15 ดอก ฉันรู้สึกเสียใจจริงๆ
          20 ดอก ฉันมีความจริงใจต่อเธอ
          21 ดอก ชีวิตินี้ฉันมอบเพื่อเธอ
          36 ดอก ฉันยังจำความหลังอันแสนหวาน
          40 ดอก ความรักของฉันเป็นรักแท้
          99 ดอก ฉันรักเธอจนวันตาย
          100 ดอก ฉันอุทิศชีวิตนี้เพื่อเธอ
          101 ดอก ฉันมีคุณเพียงคนเดียวเท่านั้น
          108 ดอก คุณจะแต่งงานกับฉันไหม
          999 ดอก ฉันจะรักคุณจนวินาทีสุดท้าย
 ดอกกุหลาบ

ความหมายอื่น

           กุหลาบแดงเข้ม (สีเหมือนไวน์แดง) "เธอช่างมีเสน่ห์งามเหลือเกิน"

           กุหลาบตูมสีแดง "ฉันเริ่มรักเธอแล้วจ้ะ"

           กุหลาบบานสีแดง "ฉันรักเธอเข้าแล้ว"

           กุหลาบสีแดงที่โรยแล้ว "ความรักของเรานั้นจบลงแล้ว"

           กุหลาบตูมสีขาว "เธอช่างไร้เดียงสาน่าทะนุถนอมเหลือเกิน ฉันรักเธอ"

           กุหลาบสีขาวที่โรยแล้ว "เสน่ห์ของเธอมันเริ่มลดน้อยถอยลงแล้วนะจ๊ะ"

          กุหลาบตูม สื่อความหมายถึง ความงามและความเยาว์วัย

          และทั้งหมดนี้ก็คือเรื่องราวที่น่าสนใจของดอกกุหลาบ




ขอขอบคุณข้อมูลจาก
Thaigoodview.com, Doae.go.th, Formumandme.com, Panmai.com