ที่มาของข้อมูล :วารสารเวชศาสตร์สิ่งแวดล้อม ปีที่ 1 ฉบับที่ 1
คำสำคัญ : ปลาทะเลมีพิษ, สารชีวพิษ, ปลาปักเป้า, เทโทรโดท็อกซิน, โรคศิกัวเทอรา, สารศิกัวท็อกซิน, สารสคาริท็อกซิน, สารไมโตท็อกซิน, ปลานกแก้ว, ปลาสาก, ปลากะพง, ปลาหมอทะเล, ปลาไหลมอเรย์, ปลาขี้ตังเป็ด, ปลากระเบน, ปลาดุกทะเล, ปลกกดทะเล, ปลากะรังหัวโขน, ปลาสสิดทะเล, ปลาตะกรับ, ไดโนแฟลกเอลเลต
ปลาทะเลเป็นอาหารที่มีผู้นิยมบริโภคเพราะมีรสอร่อย, คุณค่าทางอาหารสูงและเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย อย่างไรก็ตามมีปลาทะเลหลายชนิดที่พบว่าอาจก่ออันตรายต่อมนุษย์ เนื่องจากมีสารชีวพิษ (biotoxin) สะสมอยู่ในตัว ซึ่งเข้าสู่คนโดยการบริโภคหรือโดยการสัมผัสเช่น ถูกตำแทง
ปลาทะเลที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการบริโภค
กรณีที่รู้กันอย่างแพร่หลายคืออันตรายที่ได้รับพิษจากการบริโภคปลาปักเป้าและปลาที่ก่อโรค ศิกัวเทอรา
ปลาปักเป้า
ในทะเลไทยมีปลาปักเป้าอยู่ไม่น้อยกว่า 23 ชนิด1 จัดอยู่ในวงศ์ปลาปักเป้า (Family Tetrodontidae) และวงศ์ปลาปักเป้าหนามทุเรียน (Family Diodontidae) (รูปที่ 1)ปลาปักเป้ามีขนาดปานกลางถึงขนาดใหญ่ (10-40 เซนติเมตร) , มีลักษณะเฉพาะตัว คือ ลำตัวกลม ยาว , หัวโต ปากเล็ก
บางชนิดมีฟันและปากคล้ายนกแก้ว, ครีบอกและครีบหางใหญ่, ครีบหลังและครีบกันเล็ก, หนังเหนียว, ส่วนมากมีตุ่ม หรือหนามกระจายทั่วตัวปลาปักเป้าจะพองตัวเมื่อตกใจหรือถูกรบกวน , อาศัยอยู่ตามท้องทะเลที่เป็นทรายหรือทรายปนโคลน มักจับได้ด้วยเครื่องมืออวนลากหน้าดิน ปลาปักเป้าชนิดที่มีรายงานว่าเป็นพิษต่อผู้บริโภคและพบในน่านน้ำไทย ได้แก่ปลาปักเป้าลาย [ Spheroids scleratus (Gmelin) ] , ปลาปักเป้า [ Tetrodon hispidus (Lac.) ], ปลาปักเป้าดำ [ Tetrodon stellatus (BI. & Schn.)] เป็นต้น 2
| ![]() รูปที่ 1 ปลาปักเป้า (Family Tetrodontidae) (ก). และ ปลาปักเป้าหนามทุเรียน (Family Diodontidae (ข)) |
พิษและอาการ
พิษในปลาปักเป้าเป็นพิษจำพวก Tetrodotoxin (TTXs)3,4 มีสูตรโครงสร้างโมเลกุลเป็น C11H17O8N3 ไม่สลายตัวด้วยความร้อนแต่ละลายในน้ำหรือแอลกอฮอล์ได้ดี สารพิษมีฤทธิ์ต่อระบบประสาท มีผลทำให้กล้ามเนื้อไม่ทำงาน เกิดอาการอัมพาต ในกรณีที่ได้รับพิษจำนวนมากทำให้ระบบประสาทส่วนกลางไม่สามารถควบคุมการหายใจและการเต้นของหัวใจจนเป็นอันตรายถึงเสียชีวิตได้
สารพิษชนิดนี้ นอกจากพบในปลาปักเป้าแล้ว ยังตรวจพบในสัตว์ทะเลที่ใช้เป็นอาหารอีกหลายชนิด เช่น หมึกสายบางชนิด, หอยกาบเดี่ยวบางชนิด และปลาชนิดอื่นๆ ความรุนแรงของพิษ TTXs ขึ้นกับสัตว์ทะเลแต่ละชนิดแต่ละตัวและชนิดของเนื้อเยื้อ ตับและรังไข่มักจะมีความรุนแรงของพิษสูง อย่างไรก็ตามพบว่ามีสัตว์เฉพาะกลุ่มเท่านั้นที่สามารถสะสมสารพิษ TTXs ไว้ในตัวได้ 4
การสะสมสารพิษ TTXs เป็นเรื่องที่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจ และผลจากการศึกษาวิจัยหลายเรื่องที่อธิบายว่าแบคทีเรียหลายชนิดทั้งที่อาศัยอยู่ร่วมกับสัตว์ทะเลและที่อยู่เป็นอิสระเป็นผู้สร้างสารพิษนี้ขึ้นเช่น Vibrio alginolyticus, Pseudomonas sp. 4,5
ปลาที่ก่อให้เกิดโรค ศิกัวเทอรา
Ciguatera เป็นชื่อที่ใช้เรียกชื่อโรคที่เกิดจากการบริโภคปลาทะเลหลายๆ ชนิด ซึ่งมักจะเป็นปลาที่อาศัยในแนวปะการัว โดยเฉพาะในทะเลคาริบเบียน, ทะเลเขตร้อนและเขตอบอุ่นของมหาสมุทรแปซิฟิก คำว่า Cigua เป็นภาษาสเปนที่ใช้เรียกหอยทะเลในกลุ่มหอยตาวัวชนิด Turbo pica ผู้ที่บริโภคหอยชนิดนี้เกิดมีอาการผิดปรกติทางระบบประสาทและระบบทางเดินอาหาร จึงได้ถูกนำมาใช้เรียกโรคที่เกิดจากการบริโภคปลาแล้วผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวด้วย ปลาทะเลที่มีรายงานว่ามีพิษได้แก่ ปลาไหลมอเรย์, ปลากะรัง, ปลาสาก, ปลากะพง, ปลาหมอทะเล เป็นต้น
พิษและอาการ
ในปลาทะเลที่มีพิษ พิษจะสะสมอยู่ในเนื้อและอวัยวะภายใน ปลาต่างชนิดอาจพบพิษต่างกันเช่น ในปลาไหลมอเรย์พบสารชีวพิษ ciguatoxin (CTX) ที่มีสูตรโครงสร้างโมเลกุล C60H86NO19 6, ในปลานกแก้ว (Scarus gibbus) นอกจากจะมี ciguatoxin แล้วยังพบ scaritoxin ด้วย, ส่วนในปลาขี้ตังเป็ด ( Ctenochaetus strigosus ) พบสารชีวพิษชนิด maitotoxin (MTX).
การศึกษาความเป็นพิษของปลาที่เกาะ Gambier พบว่ามีความสัมพันธ์กับสิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวพวก dinoflagellate ชนิด Gambierdiscus toxicus ซึ่งอาศัยอยู่บนซากปะการังและบนสาหร่ายทะเลขนาดใหญ่ เมื่อพบพวกไดโนแฟลกเอลเลต ชนิดนี้มากก็จะพบปลาที่มีมากขึ้นด้วย 7ปลาที่มีพิษมักเป็นปลาที่กินพืช เมื่อปลากินสาหร่ายก็จะกินไดโนแฟลกเอลเลต เข้าไปด้วย และยังพบในปลากินเนื้อจากการถ่ายทอดพิษทางห่วงโซ่อาหาร พิษจะสะสมอยู่ตามเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ และถ่ายทอดมาถึงคนที่เป็นผู้บริโภคขั้นสูงสุด สารพิษนี้ถ้ามีปริมาณน้อยจะไม่มีผลมากนัก , แต่ถ้าได้รับสารพิษปริมาณมากอาจมีอาการรุนแรง
การเลี้ยงและขยายพันธุ์ Gambierdiscus toxicus ในห้องปฏิบัติการเพื่อนำมาสกัดสารพิษ พบว่าได้สารพิษชนิด MTX ในปริมาณมาก และมีสารพิษที่คล้ายกับ CTX อยู่ด้วย, จึงเชื่อกันว่าต้นกำเนิดของพิษในปลาทะเลคือ ไดโนแฟลกเอลเลต บางชนิด นอกจากชนิดที่กล่าวมาแล้ว ยังอาจมีชนิดอื่นๆ ที่ผลิตสารพิษได้ด้วย ในประเทศไทยยังไม่มีรายงานเกี่ยวกับไดโนเฟลกเอลเลต ที่อยู่ตามปะการังหรือสาหร่ายที่เรียก benthic dinoflagellate มีแต่เพียงคำบอกเล่าว่าการบริโภคปลาทะเลบางชนิดทำให้มีอาการผิดปรกติเกิดขึ้น
ผู้ที่เป็นโรค ศิกัวเทอรา นั้นพบว่าจะมีอาการเกิดขึ้นภายใน 30 ชั่วโมงหลังจากบริโภคปลาที่มีพิษ อาการจะแสดงออกเร็วหรือช้า มากหรือน้อยขึ้นกับปริมาณสารพิษที่ได้รับและความต้านทานของผู้ป่วยเอง อาการที่ปรากฏอาจจะมีทั้งอาการทางระบบประสาทและอาการทางระบบทางเดินอาหาร , หรืออย่างใดอย่างหนึ่ง, และอาการยังคงอยู่เป็นเวลา 2-4 สัปดาห์ อาการระยะแรกได้แก่ คลื่นไส้อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน จากนั้นจะปวดเมื่อยกล้ามเนื้อปวดศีรษะ, ชาตามมือ เท้า ริมผีปาก ลิ้น , หน้ามืด วิงเวียน ตาฟาง หัวใจเต้นผิดปรกติ , มีผื่นแดงตามผิวหนัง อาจทำให้ผิวหนังหลุดหรือถลอกได้ง่าย
ปลาทะเลที่ก่อให้เกิดอันตรายจากการสัมผัส
ปลาจำนวนมากมีอวัยวะป้องกันตัวในรูปแบบต่างๆ เช่น ฟัน หนาม ก้านครีบแข็ง , ซึ่งเมื่อไปทิ่ม แทงหรือตำจะทำให้เกิดบาดแผล ปลาบางพวกยังสามารถสร้างสารพิษที่ทำให้มีอาการเจ็บปวดรุนแรงและอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ พิษเหล่านี้สร้างโดยต่อมพิษ (venom gland) ที่อยู่ในเนื้อเยื่อที่หุ้มหนามหรือหนังที่ปกคลุมบริเวณหนามหรือที่ตัวหนาม ปลาทะเลที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์โดยการทิ่ม แทง ตำมีเป็นจำนวนมาก ซึ่งสามารถจำแนกออกเป็นกลุ่มต่างๆ ดังนี้
1. กลุ่มปลากระแบน (stingray)
ปลากระเบนมีลำตัวแบน , ครีบอกขนาดใหญ่แผ่ออกข้างตัว ทำให้เห็นลำตัวเป็นแผ่นรูปร่างเกือบกลมคล้ายว่าวหรือจาน ส่วนหางเรียวคล้ายแส้แยกออกจากลำตัวเห็นชัดเจนมีหนามแหลมบริเวณโคนหางด้านบน ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกันในแต่ละชนิด (รูปที่ 2) หนามเป็นแท่งแบน ยาว ปลายแหลม ขอบทั้งสองข้างมีรอยหยักเป็นฟันเลื่อย, ด้านบนมีร่องจากโคนถึงปลาย กลุ่มเซลล์สร้างพิษหรือต่อมพิษ (venom gland) อยู่ใต้ผิวชั้นนอก (epidermis) (รูปที่3) ปลากระเบนที่มีพิษรุนแรงในน่านน้ำไทยได้แก่วงศ์ปลากระเบนธง (Family Trygonidae) สกุล Dasyatis และ Pteroplatea และวงศ์กระเบนนก (Family Myliobatidae)สกุล Aetobatus.
ผู้ที่ถูกหนามหรือเงี่ยงปลากระเบน แผลมีลักษณะคล้ายแผลมีดบาด การที่เงี่ยงปลากระเบน แผลมีลักษณะคล้ายฟันเลื่อย เมื่อชักเงี่ยงออกจากบาดแผลทำให้แผลฉีกมากขึ้น หลังถูกตำจะมีอาการปวดเป็นระยะๆ ต่อมาแผลจะอักเสบ บวม อย่างไรก็ตามปลากระเบนไม่มีพฤติกรรมก้าวร้าว อันตรายมักเกิดจากการเหยียบปลากระเบนที่ฝังตัวอยู่ตามพื้นทราย หรือทรายปนโคลน (รูปที่ 4)
| ![]() | |
![]() รูปที่ 3 ภาพตัดขวางของหนวดปลากระเบน แสดงเซลล์สร้างพิษหรือต่อมพิษ | ![]() |
2. กลุ่มปลาดุกทะเลและปลากดทะเล (sea catfish)
ปลาดุกทะเล เป็นปลาไม่มีเกล็ด , ลำตัวปกคลุมด้วยเมือกลื่น , รูปร่างเรียวยาว ด้านข้างแบน, ส่วนหัวแบนลงมีหนวด 4 คู่ อยู่ที่บริเวณรูจมูก 1 คู่, ริมฝีปาก 1 คู่ และใต้คาง 2 คู่ , ครีบหลังอันที่สอง ครีบก้นและครีบหางติดต่อกันครีบหลังและครีบอกมีก้านครีบแข็งซึ่งมีลักษณะเป็นหยักคล้ายฟันเลื่อย ขนาดใหญ่แข็งแรง ปลาในกลุ่มนี้ได้แก่ วงศ์ปลาดุกทะเล (Family Plotosidae) (รูปที่ 5) เช่น สกุล Plotosus.

รูปที่ 5 ปลาดุกทะเล (Family Plotosidae)
![]() | ![]() |
รูปที่ 6 ลักษณะก้านครีบแข็งและต่อมพิษของปลากดทะเล | รูปที่ 7 ปลากดทะเล (Family Tachysuridae) |
อันตรายจากปลากลุ่มนี้เกิดจากไปสัมผัสโดนก้านครีบแข็งบริเวณครีบหลังและครีบอกโดยเฉพาะขณะที่จับปลาเพื่อปลดออกจากเครื่องมือประมง เช่น เบ็ด แห หรืออวน, หรืออาจเกิดจากการไปเหยียบถูกเนื่องจากทั้งปลาดุกและปลากดทะเลเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามหน้าดิน และอาจมาหากินตามที่น้ำตื้นหรือปากแม่น้ำ พิษของปลากลุ่มนี้มีผลคล้ายกับพิษของปลากระเบน เมื่อถูกตำจะเจ็บปวดทันที ปลาขนาดเล็กมีผลทำให้เจ็บปวดนานประมาณ 30 – 60 นาที ส่วนปลาขนาดใหญ่อาจมีผลทำให้เจ็บปวดนานถึง 48 ชั่วโมง และบาดแผลบวมอักเสบ
3. กลุ่มปลากะรังหัวโขน (stone fish)
ปลากะรังหัวโขนมีลำตัวป้อมเกือบกลม หัวขนาดใหญ่ส่วนหัวมีหนามจำนวนมาก , ลำตัวสากและมีหนามเล็กๆ , หนังหนาและเป็นปุ่ม, เกล็ดละเอียด บางชนิดไม่มีเกล็ด, ครีบหลังยาว, ครีบอกกว้าง มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลัง ครีบอก และครีบท้อง ก้านครีบแข็งมีลักษณะเป็นหนาม ต่อมพิษของก้านครีบแข็งอยู่ใต้ชั้นผิวโดยอยู่รอบส่วนกลาง ส่วนปลายของก้านหนามหุ้มห่อด้วยเนื้อเยื่อ (Connective tissue) (รูปที่ 8) พิษจะถูกปล่อยออกเมื่อเยื่อหุ้มหนามฉีกขาด อันตรายเกิดจากการไปสัมผัสถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่างๆ และหนามบริเวณหัว เนื่องจากปลากลุ่มนี้ชอบอยู่นิ่งๆ ทำให้ดูคล้ายก้อนหินจึงอาจไปสัมผัสหรือเหยียบได้ พิษมีความรุนแรงมากเมื่อถูกตำหรือบาดจะปวดและบวมทันที ความเจ็บปวดอาจอยู่นานหลายชั่วโมงหรือหลายวัน ในกรณีที่รับพิษจำนวนมากหรือแพ้ ผู้ป่วยอาจมีอาการคอแห้ง, ปวดเมื่อยตามข้อต่างๆ , ซึม เพ้อ ไม่ได้สติ , จนเสียชีวิตได้ในที่สุด ปลาในกลุ่มนี้อาศัยตามพื้นท้องทะเล จัดอยู่ใน 2 วงศ์ คือ วงศ์ปลาแมงป่อง (Family Scorpaenidae) เช่นสกุล Scorpaenopsis และวงศ์ปลาหิน (Family Synanceidae) (รูปที่ 9) เช่นสกุล Synanceia.
![]() | ![]() |
รูปที่ 8 ลักษณะหนามและต่อมพิษของปลากะรังหัวโขนวงศ์ปลาแมงป่อง (ก) และวงศ์ปลาหิน (ข) |
รูปที่ 9 ปลาหิน (Family Synanceidae)
|
4. กลุ่มปลาสิงห์โต (scorpaenoid fish)
![]() | ปลาสิงห์โตมีลำตัวยาวปานกลาง, แบนข้างเล็กน้อย, หัวขนาดใหญ่, ลำตัวปกคลุมด้วยแผ่นกระดูกและมีหนามจำนวนมาก, เกล็ดขนาดเล็ก, ครีบหลังและครีบอกขนาดใหญ่แผ่กว้าง โดยทั่วไปครีบอกมีขนาดใหญ่แหลมคม ต่อมพิษมีลักษณะคล้ายกับปลากะรังหัวโขน (รูปที่ 10) หัวและลำตัวมีแถบลายสีน้ำตาลปนแดง (รูปที่ 11) ปลาสิงห์โตมักว่ายช้าๆ หรือลอยตัวนิ่งๆ ตามแนวปะการัง และบริเวณแนวหินในเขตน้ำตื้นชายฝั่งทั่วไป นักท่องเที่ยวชอบเข้าไปจับเล่นเนื่องจากดูสวยงามและคิดว่าไม่เป็นอันตราย พิษของปลาสิงห์โตเหมือนกับพิษของปลากะรังหัวโขน แต่มีความรุนแรงน้อยกว่า ปลาสิงห์โตจัดอยู่ในวงศ์เดียวกับปลาแมงป่อง (FamilyScorpaenidae) สกุล Pterois. ![]()
รูปที่ 11 ปลาสิงห์โต (Family Scorpaenidae)
|
5. กลุ่มปลาขึ้ตังเป็ด (surgeon fish)
ปลาขึ้ตังเป็ดมีลำตัวป้อมแบน, หนังหนา เกล็ดเล็ก, ครีบหลังและครีบก้นยาว , บริเวณลำตัวและครีมมีสีสันสวยงามมาก อันตรายเกิดจากการสัมผัสหนามซึ่งอยู่บริเวณโคนหาง (รูปที่ 13) เช่นสกุล Acanthurus และ Ctenochaetus พิษของปลาขี้ตังเป็ดมีผลคล้ายกับพิษของปลากะรังหัวโขนแต่มีความรุนแรงน้อยกว่า
![]() | ![]() |
รูปที่ 12 ลักษณะของหนามของปลาขี้ตังเป็ด
|
รูปที่ 13 ปลาขี้ตังเป็ด (Family Acanthurus)
|
6. กลุ่มปลาสลิดทะเล (rabbit fish)
ปลาสลิดทะเลมีรูปร่างแบนป้อม, ลำตัวแบนข้าง, หัวขนาดเล็ก, เกล็ดเล็กละเอียด, ครีบหลังและครีบก้นยาว มีก้านครีบแข็งที่ครีบหลัง, ครีบท้องและครีบก้นซึ่งมีลักษณะแหลมคมและแข็ง, มักพบในเขตชายฝั่ง ตามพื้นท้องทะเล กองหิน แนวปะการัง และแนวหญ้าทะเล, จัดอยู่ในวงศ์ปลาสสิดทะเล (Family Siganidae) (รูปที่ 14) ได้แก่สกุล Siganus อันตรายเกิดจากการถูกก้านครีบแข็งบริเวณต่างๆ ตำ แทง เมื่อถูกตำจะเจ็บปวดมาก แต่ไม่มีรายงานว่ามีต่อมพิษ

รูปที่ 14 ปลาสลิดทะเล (Family Siganidae)
7.กลุ่มปลาตะกรับ (spotted butter fish)
ปลาตะกรับมีลำตัวป้อมสั้น แบนข้าง, หัวเล็ก, หนังหนา เกล็ดขนาดเล็ก, ครีบหลังยาว, สีพื้นลำตัวด้านล่างมีสีน้ำเงินอมเขียว, ด้านท้องสีขาวเงิน, ตลอดลำตัวและครีบมีจุดสีเป็นวงสีน้ำตาลอมเทา, มีก้านครีบแข็งขนาดใหญ่ที่ครีบหลังครีบท้อง และครีบก้น ได้แก่วงค์ปลาตะกรับ (Family Scatophagidae) (รูปที่ 15) เช่น สกุล Scatophagus อันตรายเกิดจากถูกก้านครีบแทง ตำ ซึ่งมักเกิดขณะปลดปลาออกจากเครื่องมือประมง

รูปที่ 15 ปลาตะกรับ (Family Scatophagidae)
เอกสารอ้างอิง
- สุภาพ มงคลประสิทธิ์, สืบสน สนธิรัตน์, สุรีย์ วิมลโลหการ, ทวีศักดิ์ ทรงศิริกุล. Checklist of fishes in Thailand. Office of Environmental Policy and Planning, Bangkok, Thailand 1997:353.
- กรมประมง. สัตว์ทะเลที่เป็นภัยต่อชีวิต. หน่วยสำรวจแหล่งประมง, กรมประมง. 2511:179.
- Halsted BW. Posinonous and venomous marine animals of the world. New Jersey: The Darwin Press, Inc., 1978:1043.
- Tamplin ML. A bacterial sources of tetrodotoxins and saxitoxins. In: Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington DC: American Chemical Society, 1990:78-86.
- ทวีศักดิ์ ปิยะกาญจน์, กาญจนา จันทองจีน, สุชนา วิเศษสังข์. สารชีวพิษที่เป็นสารกีดขวางช่องโซเดียมในสิ่งมีชีวิตในทะเลบางชนิดในประเทศไทย. สารศิริราช 2539; 48(ฉบับผนวก):83-99.
- Yasumoto T, Murata M. Polyether toxins involved in seafood poisoning. In: Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington, DC: American Chemical Society, 1990;120-32.
- Frelin C, Duran-Clement M, Bidard J, Lazdunski M. The molecular basis of ciguatoxin action. In : Hall S, Strichartz G, eds. Marine toxins: origin, structure and molecular pharmacology. Washington DC: American Chemical Society, 1990:192-9.
- Rifkin J, Williamson J. Venomous fish. In: Williamson J. Fenneer PJ, Burnett JW, Rifkin JF, eds. Venomous and posionous marine animals. Sydney: University of New South Wales Press, 1996:355-9.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น