วันอังคารที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข้อมูลท่องเที่ยวอิตาลี

ข้อมูลท่องเที่ยวอิตาลี


 
   
ธงชาติอิตาล
 
 
   
ตราประเทศอิตาลี
ข้อมูลทั่วไปประเทศอิตาลี
อิตาลีอยู่ในตอนใต้ของทวีปยุโรป และตอนเหนือของแอฟริกา โดยมีลักษณะเป็นคาบสมุทรยื่นออกไปในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน พื้นที่ร้อยละ 75เป็นภูเขาและที่ราบสูง ทิศเหนือติดประเทศสวิตเซอร์แลนด์และออสเตรีย ทิศใต้ติดทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและทะเลไอโอเนียน ทิศตะวันตกติดประเทศฝรั่งเศสและทะเลไทเรเนียน ทิศตะวันออกติดทะเลอาเดรียติก และอยู่ตรงข้ามกับสโลเวเนีย โครเอเชีย บอสเนีย มอนเตเนโกร และแอลเบเนีย อิตาลีมีเนื้อที่ 116,303 ตารางไมล์ หรือ 301,225 ตารางกิโลเมตร นอกจากพื้นที่ที่เป็นคาบสมุทรแล้ว อิตาลียังประกอบด้วยเกาะซาร์ดิเนียและซิซิลีด้วย พื้นที่ร้อยละ 57 เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ร้อยละ 21 เป็นป่าและภูเขา มีสภาพภูมิอากาศแบบเมดิเตอร์เรเนียน มีประชากร ประมาณ 58.6 ล้านคน เชื้อชาติ ส่วนใหญ่คือ อิตาเลียน และมีชนกลุ่มน้อยเชื้อชาติอื่นๆคือ เยอรมัน ฝรั่งเศส สโลเวเนีย และแอลเบเนีย เมืองหลวง คือกรุงโรม (Rome) ประชากร 2.7 ล้านคน เมืองสำคัญ โรม มิลาน เนเปิลส์ ฟลอเรนซ์ เวนิส
ประวัติศาสตร์ประเทศอิตาลี
 
   
เมืองโบราณแมกนากราเซีย
ประวัติศาสตร์อิตาลีแบ่งออกเป็น 2 ช่วง ดังนี้ัี้
ยุคโบราณ
คาบสมุทรอิตาลีมีมนุษย์อาศัยตั้งแต่ยุคหินเก่า ดินแดนลุ่มแม่น้ำไทเบอร์เป็นที่ตั้งถิ่นฐานของมนุษย์นีแอนเดอร์ทัลตั้งแต่เมื่อประมาณ 5 หมื่นปีที่แล้วและด้วยอิตาลีนั้นตั้งอยู่บนคาบสมุทรในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ซึ่งมีอารยธรรมโบราณ กล่าวคืออารยธรรมมิโนน และไมซีเนียน อารยธรรมที่เกี่ยวพันกับอารยธรรมกรีกโบราณ อิตาลีเป็นประเทศที่มีอารยธรรมมาช้านานและแผ่ขยายดินแดนอื่นๆในทวีปยุโรปในช่วง1,600ปีก่อนคริต์ศักราชพวกอีตรัสกัน(Etruscan) จากเอเชียไมเนอร์ก็ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานในบริเวณที่เป็นแคว้นตอสกานาในปัจจุบันพร้อมกับนำอารยธรรมกรีกเข้ามาเผยแพร่ ส่วนพวกกรีกเองก็ได้เดินทางมาตั้งอาณานิคมชื่อว่า “แมกนากราเซีย” (Magna Graecia) ในตอนใต้ของอิตาลีใน 800 ปีก่อนคริสต์ศักราช มีพื้นที่ครอบคลุมบริเวณตั้งแต่เมืองนาโปลี จนถึงเกาะซิชิเลีย ในศตวรรษที่ 6
ก่อนคริสต์ศักราช พวกอีตรัสกันได้มีอำนาจปกครองดินแดนตั้งแต่บริเวณชายฝั่งตะวันตกของคาบสมุทรอิตาลีตั้งแต่หุบเขาโป จนถึงบริเวณเมืองนาโปลี และดินแดนรอบๆ กรุงโรม ขณะเดียวกันชนเผ่าอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ในคาบสมุทรอิตาลีก็รวมตัวกันจัดตั้งเป็น “นครรัฐ” ขึ้น เพื่อต่อต้านการขยายตัวและอำนาจของพวกอีตรัสกันและกรีก ชนเผ่าที่สำคัญในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ได้แก่พวกละติน หรือโรมัน ซึ่งเมื่อถึง 200 ปีก่อนคริสต์ศักราช พวกละตินก็ได้มีอำนาจเหนือดินแดนอิตาลีเกาะซาร์ดิเนียและซิซิเลียทั้งหมดแล้วใน 27 ปีก่อนคริสต์ศักราชโรมได้เปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองจากสาธารณรัฐเป็นระบอบจักรวรรดิโดยมีจักรพรรดิออกตาเวียน (Octavian) เป็นจักรพรรดิพระองค์แรก นครหลวงแห่งนี้ได้เจริญถึงขีดสุดและสามารถขยายอำนาจปกครองอิทธิพลไปทั่วทั้งยุโรป และบริเวณรายรอบทะเลเมดิเตอร์เรเนียน  อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของการค้า และความเจริญในด้านวัฒนธรรมและศิลปวิทยาการแขนงต่างๆ แทนกรีกที่ได้ถดถอยลง ระหว่างปี ค.ศ. 96 – 180 เป็นช่วงระยะเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของจักรพรรดิที่ปกครอง 5 พระองค์ แต่หลังจากนั้น โรมต้องประสบปัญหาทั้งในทุกๆด้าน รวมไปถึงการรุกรานของพวกอนารยชน รวมทั้งการเสื่อมโทรมทางศีลธรรมจรรยา ใน พ.ศ. 855 (ค.ศ. 312) จักรพรรดิคอนสแตนติน ทรงยอมรับคริสต์ศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ ซึ่งมีผลให้คริสต์ศาสนามีโอกาสได้เผยแพร่ไปทั่วดินแดนที่อยู่ใต้อานัติของโรม ในคริสต์ศตวรรษที่ 5จักรวรรดิโรมันและกรุงโรมได้ถูกพวกอนารยชนเยอรมันเข้าปล้นสะดม ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. 1019 (ค.ศ. 476) จักรพรรดิโรมันพระองค์สุดท้ายก็ถูกพวกอนารยชนขับออกจากบัลลังก์นับเป็นการสิ้นสุดจักรวรรดิโรมันตะวันตก ประวัติศาสตร์โลกสมัยโบราณ และโลกตะวันตกก็เข้าสู่ยุคกลาง
 
 
   
ศิลปะยุคเรอเนอซองส์
ยุคกลาง
ในช่วงต้นของยุคกลาง ดินแดนต่างๆ ในยุโรปได้ตกอยู่ในสภาวะระส่ำระส่ายที่บ้านเมืองขาดผู้นำระบบการเมืองเศรษฐกิจและสังคมถูกทำลายแต่ในขณะเดียวกันบิชอบแห่งโรมก็ได้สามารถสถาปนาอำนาจสูงสุดในคริสตจักรซึ่งต่อมาคือ “สันตะปาปา”และสามารถจัดตั้งรัฐสันตะปาปา อีกทั้งยังเป็นผผู้สืบทอดอารยธรรมโรมันที่ยังหลงเหลืองให้คงอยู่ต่อไป อย่างไรก็ดี แม้นครรัฐต่างๆ ในคาบสมุทรอิตาลีจะขาดเอกภาพทางการเมือง แต่นครรัฐเหล่านั้นยังเป็นศูนย์กลางของความเจริญมั่งคั่งและการฟื้นตัวของศิลปะและวัฒนธรรมของยุโรป ในกลางคริสต์ศตวรรษที่ 14 อิตาลีได้ประสบความสำเร็จในการฟื้นฟูศิลปวิทยาการของอารยธรรมกรีกและโรมัน  (ยุคเรอเนซองส์)และเป็นผู้นำของลัทธิมนุษยนิยมในขณะที่ประเทศต่างๆในยุโรปยังตกอยู่ภายใต้การปกครองแบบศักดินาหรือฟิวดัลแต่เมื่อเข้าปลายคริสต์ศตวรรษที่ 15 อิตาลีได้ตกเป็นสมรภูมิแย่งชิอำนาจระหว่างฝรั่งเศส สเปน และออสเตรีย กล่าวคือเมื่อปี ค.ศ. 1494 พระเจ้าชาร์ลที่ 8 แห่งฝรั่งเศสได้เปิดการโจมตีคาบสมุทร ซึ่งได้ดำเนินเรื่อยมาถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 16 และการโจมตีเพื่อแย่งการเป็นเจ้าของระหว่างฝรั่งเศสและสเปน
 
สภาพภูมิอากาศประเทศอิตาลี
เมื่อเทียบกับประเทศยุโรปอื่นๆ อิตาลีจัดได้ว่าอยู่ในเขตอบอุ่น มีแสงอาทิตย์ส่องสว่าง อากาศดีแจ่มใส แต่จริงๆแล้ว ด้วยรูปทรงยาวยื่นลงไปในทะเล โดยส่วนบนติดกับเทือกเขาแอลป์ ทำให้อิตาลีมีภูมิอากาศที่หลากหลาย ทางตอนเหนืออากาศเย็น มีหิมะตกในช่วงหน้าหนาวทว่าร้อนจัดในช่วงหน้าร้อน ในขณะที่ทางใต้อากาศอบอุ่นตลอดทั้งปี โดยมีลมจากแอฟริกาพัดพาเอาความร้อนและชื้นเข้ามาในช่วงฤดูร้อน ฤดูกาลในอิตาลีมี 4 ฤดู คือ ฤดูหนาว ฤดูใบไม้ผลิ ฤดูร้อน และฤดูใบไม้ร่วง
ช่วงเวลาที่ควรไปเยือน
เวลาที่เหมาะกับการไปเยือนอิตาลีที่สุดคือช่วงฤดูใบไม้ผลิ ระหว่างเดือนเมษายนถึงกลางเดือนมิถุนายน เพราะอากาศกำลังสบาย ทางตอนเหนือไม่หนาวและทางใต้ไม่ร้อนจนเกินไป และยังเป็นช่วงที่ถือว่าเป็นช่วงโลว์ซีซั่น ช่วงฤดูร้อน (กรกฎาคมถึงกันยายน)ในอิตาลีจะคึกคักมากและมีนักท่องเที่ยวมากมายทุกหนแห่งที่พักและอาหารมีราคาแพงจึงควรหลีกเลี่ยงในช่วงฤดูใบไม้ร่วงและฤดูหนาวอาจมีฝนตก
 
ภาษา
ทั่วอิตาลีจะใช้ภาษาอิตาเลียนเป็นหลัก ในเมืองท่องเที่ยวหลัก เช่น โรม มิลาน ฟลอเรนซ์ เวนิช ฯลฯ ร้านค้าต่างๆ จะพูดภาษาอังกฤษได้พอสมควร แต่ตามเมืองเล็กๆ ในชนบทนักท่องเที่ยวอาจจะประสบปัญหาได้ เพราะผู้คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจภาษาอังกฤษ
 
สกุลเงิน
 
ใช้สกุลเงินยูโร (Euro)เทียบเป็นเงินไทยได้ประมาณ 45 บาท ซึ่งขึ้นอยู่กับอัตราค่าเงินขณะที่ท่านแลก  ณ วันที่ 20  ธันวาคม
 
สิ่งควรทำ-ไม่ควรทำ
1. คนอิตาเลียนนิยมแต่งกายสวยงามเสมอโดยเฉพาะในยามค่ำ ดังนั้นหากมีแผนจะไปนั่งรับประทานอาหารตามภัตตาคาร ก็ควรเตรียมชุดที่ดูดีสักหน่อยไปด้วยแม้นักท่องเที่ยวมักจะได้รับการยกเว้นหรือให้อภัยก็ตาม
2. การเอ่ยคำนำชื่อ เช่น ด็อกเตอร์หรือโปรเฟสเซอร์ เป็นเรื่องสำคัญดั้งนั้น หากได้รับการแนะนำให้รู้จักคนอิตาเลียนที่มีคำนำหน้าชื่อเช่นนี้ต้องเรียกเขาให้เต็มยศทุกครั้ง อย่าเรียกแต่ชื่อลอยๆ
3. เรื่องนัดหมายเวลา เป็นเรื่องไม่ซีเรียสนักในอิตาลี อาจมีการมาช้ามาสายกันได้เสมอ แต่ถ้าต้องการจะนัดหมายธุรกิจ จะต้องนัดล่วงหน้าเสมอ อย่าโผล่ไปโดยไม่ได้นัด
4. การนัดหมายคุยธุรกิจบนโต๊ะอาหาร มักจะเป็นมื้อกลางวันและพึงตระหนักไว้เลยว่าอาหารมื้อกลางวันนั้นจะยาวนาน 3-4 ชั่วโมง จึงอย่านัดหมายใครต่อในช่วงบ่าย เพราะเป็นการไม่สุภาพอย่างยิ่งที่จะเร่งรัดเจ้าภาพหรือขอตัวกลับก่อน
5. หากได้รับการเชื้อเชิญอย่างคะยั้นคะยอให้ไปร่วมรับประทานอาหาร พึงตอบรับเพราะนั่นคือการแสดงความเป็นมิตรและการให้ความสำคัญแก่คุณอย่างที่สุด
6. ถ้าได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้าน ควรมีดอกไม้ ไวน์ หรือช็อกโกแลตติดมือไปด้วย (อย่าเอาดอกเบญจมาศไปเด็ดขาดเพราะเป็นดอกไม้ที่ใช้เฉพาะในงานศพ)
7. อาหารอิตาเลียนนั้นหนัก เข้มข้น มีหลายคอร์ส และแต่ละคอร์สก็มาจานใหญ่ๆ ทั้งนั้น ถ้าได้รับเชิญไปตามภัตตาคารที่สั่งอาหารได้เอง อาจใช้วิธีสั่งอาหารจานแรก 2 จานแทนอาหารแรกกับอาหารจานหลัก เพราะปริมาณจะน้อยกว่า และไม่เป็นการน่าเกลียดเหมือนการขอเว้นอาหารคอร์สใดคอร์สหนึ่ง แต่ถ้าได้รับเชิญไปรับประทานอาหารที่บ้านกับครอบครัว ซึ่งมักจะเสิร์ฟอาหารในจานใหญ่ๆที่หมุนเวียนผลัดกันตักรอบๆโต๊ะ ควรตักทุกจานแต่ตักจานละน้อยๆ เพราะแต่ละบ้านจะภูมิใจในฝีมือการทำอาหารของตนเสมอ และจะทำอาหารทยอยออกมามากมายหลายจาน เกินจำนวนคอร์สปรกติ
8. เรื่องคุยที่คนอิตาเลียนโปรดปรานคือเรื่องฟุตบอล เรื่องรถสวยๆ และเรื่องครอบครัว (ประเภทว่ามีลูกกี่คน หลานกี่คน กำลังเรียนอะไรอยู่บ้าง หลานเล่นฟุตบอลเก่ง วาดรูปสวย ฯลฯ) แต่ไม่นิยมคุยเรื่องการเมือง
9. คนอิตาเลียนนิยมการสูบบุหรี่และสูบกันทั่วไปทุกหนแห่งทั้งชายและหญิง ใครที่ไม่สูบบุหรี่หรือทนควันไม่ได้จริงๆ ควรหลบเลี่ยงไปเองเพราะจะเป็นคนกลุ่มน้อยในสังคม
 
เมืองน่าเที่ยวประเทศอิตาลี
 
   
กรุงโรม
กรุงโรม (Rome)
เป็นเมืองหลวงและเมืองที่ใหญ่ที่สุดของแคว้นลาซิโอและประเทศอิตาลี ตั้งอยู่ทางตอนกลางของประเทศ ในเขตตัวเมืองมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 2.5ล้านคน ถ้ารวมเมืองโดยรอบจะมีประมาณ 4.3 ล้านคน โดยมีจำนวนประชากรใกล้เคียงกับมิลานและเนเปิลส์ โรมมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากกว่า 2,800 ปี ตั้งอยู่บนเนินเขาทั้งเจ็ดริมฝั่งแม่น้ำไทเบอร์ตอนกลางของประเทศโดยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรในอดีตมากมายเช่น ราชอาณาจักรโรมันสาธารณรัฐโรมันและจักรวรรดิโรมัน โรมเคยเป็นเมืองที่มีบทบาทมากที่สุดของอารยธรรมตะวันตกและในอดีตได้เป็นอาณาจักรที่ใหญ่ที่สุดในโลก ปัจจุบันได้เป็นเมืองหลวงของประเทศอิตาลีตั้งแต่ ค.ศ. 1870 นอกจากนี้ โรมยังเป็นที่ตั้งของนครรัฐวาติกัน ซึ่งเป็นดินแดนที่ประทับของพระสันตะปาปาแห่งศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาธอลิกอีกด้วย
 
 
   
โคลอสเซียม
สถานที่ท่องเที่ยวแนะนำ
โคลอสเซียม(Colloseum)
เป็นสนามกีฬากลางแจ้งขนาดใหญ่ตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม เริ่มสร้างขึ้น ในสมัยจักรพรรดิเวสปาเซียนแห่งอาณาจักรโรมันและสร้างเสร็จ ในสมัยของจักรพรรดิติตัสในคริสตศตวรรษที่1 หรือประมาณปี ค.ศ.80อัฒจันทร์เป็นรูปวงกลมก่อด้วยอิฐและหินทรายวัดโดยรอบได้ประมาณ 527เมตร สูง 57เมตร สามารถจุผู้ชมได้ประมาณ 50,000 คนมีการออกแบบอย่างชาญฉลาดโดยสร้างให้สนามกีฬามีลักษณะเป็นรูปวงรีเพื่อให้ผู้ชมรู้สึกเข้าใกล้นักกีฬาและมีการออกแบบทางระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำท่วมขังในสนามขณะเกิดฝนตก ถือเป็นต้นแบบของสนามกีฬาต่างๆในปัจจุบันในบางครั้งจะมีการเรียกชื่อโคลิเซียม (Coliseum)7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 โคลอสเซียมได้รับเลือกให้เป็น1ในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่
 
 
   
พระราชวังวาติกัน
พระราชวังวาติกัน(Vatican Palace)
ตั้งอยู่ในกรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นศูนย์กลางการปกครองของศาสนาคริสต์เเละยังเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสันตปาปาประมุขฝ่ายศาสนาคริสต์ เป็นพระราชวังที่ใหญ่ที่สุดในโลกใช้ประกอบพิธีกรรม ทางศาสนาต่างๆเป็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามลวดลายวิจิตรด้วยฝีมือศิลปินชาวอิตาลีหลายคนหลายยุคสมัยกว้าง 289 ฟุต ยาว 486 ฟุต สูง  354 ฟุต มียอดปราสาทมากถึง 135 ยอด เเละห้องต่างๆมากถึงสี่พันห้องนับเป็นงานก่อสร้างที่งดงามเเละมหัศจรรย์อีกเเห่งหนึ่งของโลก ภายในจะมีจุดสนใจของผู้ที่มาท่องเที่ยวก็คือ  รูปภาพ ปิเอต้า(Pieta) สร้างสรรค์โดย ไมเคิลแองเจโล่ เป็นศิลปะ สมัยยุดเรนาชองต์ ประดิษฐาน ขึ้นที่ มหาวิหารวิหารเซ็นต์ ปีเตอร์ในศตวรรษที่ 18 โดยเป็นภาพของพระแม่มารีย์ ทรงโอบอุ้มพระเยซูก่อนที่ท่านจะสิ้นใจนอกจากนั้นยังมีศิลปะหลายแขนง ให้เลือกชม มากมาย
 
 
   
น้ำพุเทรวี่
น้ำพุเทรวี่ (Trevi fountain)
เป็นน้ำพุที่สวยงามและมีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ชื่อ “เทรวี่” นั้นมาจากคำว่า“ตรีวิอุม” หมายถึงพบกันของถนนสามสาย เป็นอนุสรณ์สไตล์บารอค ออกแบบและก่อสร้างโดย นิโคลา ซาลวี่ ซึ่งองค์สมเด็จสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12ได้มอบหมายให้สร้างขึ้นในปี 1732 การก่อสร้างดำเนินเรื่อยมาจนกระทั่งภายหลังการสิ้นพระชนม์สมเด็จสันตะปาปาที่ เออร์บัน ที่ 8ได้หยุดชะงักลง และดำเนินการสร้างต่อมาจนแล้วเสร็จในปี 1762 รวม ใช้เวลาทั้งสิ้น 30ปี ทางระบายน้ำ เวอร์โก้ บริเวณลานด้านหน้านั้นก่อสร้างมากว่า 2000ปี ครั้งสมัยโรมโบราณซึ่งปกครองโดยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่ง ตรงเวลา 19 ปี ก่อนคริสตศักราช รูปปั้นแกะสลักที่เลิศหรูอลังการที่อวดโฉมให้ผู้ไปเยือนได้ยลนั้นได้แนวคิดจากความยิ่งใหญ่ของเทพเจ้าเนปจูน “เทพแห่งท้องทะเล”ว่ากันว่า หากใครที่ได้โยนเหรียญลงไปในน้ำ เขาหรือเธอผู้นั้นจะได้กลับมาเยือนอีกในสักวัน
 
 
   
บันไดสเปน
บันไดสเปน (Piazza di spagna )
หนึ่งในจุดที่สวยในกรุงโรมบ่ายๆ ผู้คนจะมานั่งพักผ่อนพบปะกันเต็ม ย่านชอปปิ้งที่หรูหราที่สุดของเมือง มีซอยเล็ก ซอยน้อย ที่ท่านจะได้เดินเที่ยวชมและช้อปปิ้งเพลิดเพลิน
 
 
   
มิลานเมืองแห่งแฟชั่นระดับโลก
มิลาน (Milan)
เป็นเมืองสำคัญในภาคเหนือของประเทศอิตาลีตั้งอยู่บริเวณที่ราบลอมบาร์ดี เมืองมิลานมีประชากร ประมาณ 1,308,500คนโดยถ้ารวมบริเวณรอบนอกและเขตปริมณฑลจะมีประมาณ 4 ล้านคน ซึ่งเรียกเขตทั้งหมดว่า ลากรันเดมีลาโน  มิลานมีพื้นที่ประมาณ 1,982 ตร.กม. ชื่อเมืองมิลาน มาจากภาษาเซลต์ คำว่า "Mid-lan" ซึ่งหมายถึง อยู่กลางที่ราบ เมืองมิลานมีชื่อเสียงในด้านแฟชันและศิลปะ ซึ่งมิลานถูกจัดให้เป็นเมืองแฟชันในลักษณะเดียวกับ นิวยอร์ก ปารีส ลอนดอน และ โรม นอกจากนี้มิลานยังเป็นที่รู้จักจากประเพณีคริสต์มาสที่เรียกว่า ปาเนตโตเน อุตสาหกรรม ผ้าไหม และแหล่งผลิตรถยนต์ อัลฟา โรมีโอ
 
   
วิหารดูโอโม่
วิหารดูโอโม่ (Duomo Cathedral)
ตั้งอยู่ที่จตุรัสกลางเมืองมิลานโบสถ์แห่งนี้เป็นศิลปะสถาปัตยกรรมแบบโกธิคที่ยิ่งใหญ่สวยงามที่สุดในอิตาลีและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก โดยที่ไม่นับวิหารเซ็นต์ปีเตอร์ความยาว ประมาณ 157 เมตร สามารถจุคนได้ประมาณ ถึง 40,000 คนซึ่งใช้ระยะเวลาการก่อสร้างยาวนานกว่า 500 ปี ( ค.ศ.1386 – 188)เป็นสิ่งก่อสร้างในยุคอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง
 
   
โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี
โบสถ์ซานตามาเรีย เดอ กราซี (Santa Maria delle Grazie)
โบสถ์ ซานตา มาเรีย เดล กราซี สร้างขึ้นระหว่างปี ค.ศ.1465 และ 1482 ออกแบบโดย กิลฟอร์ท โครงสร้างโบสถ์แต่ดั้งเดิมนั้นปัจจุบันเหลือเพียงรูปแบบของแท่นบูชาห้องโถงกว้าง จากหน้าประตู และ ทางเดิน ซึ่งได้ใช้ศิลปะแบบโกธิค ลอมบาร์ค เป็นต้นแบบ นับแต่ปี ค.ศ.1490 เรื่อยมา ลูโดวิโก้ สโฟซ่า ได้ให้มีการปรับเปลี่ยน รูปแบบสถาปัตยกรรม เพื่อใช้เป็นสุสาน สำหรับครอบครัวของเขา ดยุคได้เล็งเห็นถึงความตั้งใจของเขาใน ซานตา มาเรีย เดอ กราซี และ เรียกงานของเขาว่าเป็นศิลปะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โดยเขาได้มอบหมายให้ บรามันเต้ เป็นผู้สร้าง หน้ามุข ขึ้นแทนที่ แท่นบูชา ล๊โอนาโด ได้รับมอบหมาย ให้วาดภาพอาหารมื้อสุดท้าย ขณะเดียวกัน คริสโตโฟโร โซลารี่ ได้ให้มอบหมายให้แกะสลักฝาหลุมฝังศพของลูวิโก้และแบทริสภรรยาของเขาโดยให้อยู่เป็นศูนย์กลางของบริเวณที่ขณะคณะขับร้องยืนภายในโบสถ์ทุกวันนี้สถานที่แห่งนี้จัดเป็นสุดยอดของงานและความอลังการของศิลปะยุคเรอเนอซองส์ ของมิลาน แม้จะถูกปรับเปลี่ยนและถูกทำลาย
จากการทิ้งระเบิดในวันที่ 16 ส.ค.ค.ศ.1943 ซึ่งการทิ้งระเบิดในครั้งนั้น ได้ทำลายห้องเก็บหนังสือและสถานที่สำหรับความตายเขาหมดสิ้น
 
 
   
วิวเมืองฟลอเรนซ์
ฟลอเรนซ์ (Florence)
ฟีเรนเซ หรือ ฟลอเรนซ์ เป็นเมืองหลวงของแคว้นตอสกานาและจังหวัดฟีเรนเซ ใน ประเทศอิตาลีระหว่าง ค.ศ. 1865 ถึง ค.ศ. 1870 ฟีเรนเซก็เป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรอิตาลี ฟีเรนเซตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำอาร์โน มีประชากรประมาณ 400,000 คนและอีก 200,000 คนในบริเวณปริมณฑล ฟีเรนเซในยุคกลางเป็นศูนย์กลางทางการค้าและทางการเงิน และถือกันว่าเป็นที่เกิดของยุคฟื้นฟูศิลปวิทยา ตระกูลที่มีอำนาจการปกครองฟีเรนเซเป็นเวลานานคือตระกูลเมดิชิ นอกจากนั้นฟีเรนเซก็ยังมีชื่อว่าเป็นศูนย์กลางทางศิลปะและสถาปัตยกรรม ในยุคกลางฟีเรนเซเป็นที่รู้จักกันในนามว่าเอเธนส์ใจกลางเมืองเก่าของฟีเรนเซได้รับเลือกโดยองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี ค.ศ.1982 (พ.ศ. 2525)
 
   
โบสถ์วิหาร ดูโอโม่
โบสถ์วิหาร ดูโอโม่ เมืองฟลอเรนซ์(Ponte di Vecchio )
เป็นสถาปัตยกรรมที่สวยงาม แห่งหนึ่ง ในอิตาลี ผสมความลงตัวของศิลปะ ยุค ไมเคิลแองเจลโล อีกทั้งยังได้มีหอระฆังขนาดยักษ์ เคียงคู่หอคอย ในโบสถ์ด้วย  มีบันไดขึ้นไปชมวิวราว 414 ขั้น เพื่อให้ได้จุดที่สวย ชมวิวที่เหมาะสมกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่มีความอดทนเท่านั้น
 
   
โบสถ์เมดิ ซี
โบสถ์เมดิ ซี (Medici Chapel)
โบสถ์ เมดิซี เป็นส่วนหนึ่งของวิหาร เดอ ซาน โลเรนโซ่ เดอ ฟีราเซ่ ในนครฟลอเรนซ์ ประเทศ อิตาลี ส่วนหน้าไม่เคยสมบูรณ์ อย่างไรก็ตามก็ไม่อาจปฏิเสธความงดงามภายในวิหารและโบสถ์เมดิซีได้ วิหารแห่งนี้เป็นวิหารที่ใหญ่ที่สุดในนครฟลอเรนซ์และอยู่ใจกลางเมือง วิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ได้รับการเสกในปี ค.ศ.393 และ 300 ปี ต่อมาได้รับการสถาปนาให้เป็นโบสถ์กลางเมือง และเป็นที่ประทับของบิชอบผู้นำศาสนา วิหารนี้ยังเป็นโบสถ์ท้องถิ่นของตระกูลเมดิซี หนึ่งในตระกูลของผู้มีอำนาจในช่วงราวศตวรรษที่ 13 และ 17 ทั้งนี้ตระกูลเมดิซี เป็นตระกูลที่มีอิทธิพลต่อวัฒนธรรมในยุคศิลปะเฟื่องฟู และยืนยันถึงความรุ่งเรืองของศิลปะ ดนตรี ของสังคมในยุคเรอเนอซองส์ ของอิตาลี กล่าวได้ว่าตระกูลเมดิซี มีความสัมพันธ์อย่างแน่นแฟ้นกับประวัติศาสตร์ของฟลอเรนซ์ โดยมีโบสถ์ เมดิซี เป็นดังพินัยกรรมตกทอดความสัมพันธ์จวบจนทุกวันนี้
ภายในวิหาร เดอ ซานโลเรนโซ่ ตกแต่งตามสไตล์เรอเนอซองส์พื้นที่ภายในเป็นที่โล่งกว้าง ใหญ่ อากาศปลอดโปล่ง เย็นสบาย และตกแต่ง เพดานไว้อย่างวิจิตรตระการตา ร่างของคนในตระกูลเมดิซี เกือบ 50 คน ถูกฝังอยู่ใต้ห้องใต้ดินของโบสถ์ การก่อสร้างโบสถ์ เมดิซี เริ่มนับแต่ภายหลังการตายของ กิลลาโน และ โลเรนโซ่ เดอ เมดิซี ทายาทหนุ่มทั้ง 2 ของตระกูลในปี 1516 และ 1519 อนุสรณ์พิธีฝังศพของโบสถ์ ดำริให้สร้างขึ้นโดยสันตะปาปา ครีเมนต์ที่ 12  ในปี ค.ศ.1520 ซึ่งอดีตเป็นสังฆราช กิลิโอ เดอเมดิซีและได้มอบหมายให้หนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ยุคเรอเนอซองส์ อย่างไมเคิลแองเจลโล เป็นผู้สร้างขึ้นระหว่าง ปี 1520 และ 1534
 
 
   
เวนิส
เวนิส(Venice)
เวนิส เป็นเมืองหลวงของแคว้นเวเนโต ประเทศอิตาลี มีประชากร 271,663 คน เมืองเวนิสได้รับฉายาว่า ราชินีแห่งทะเลอาเดรียตริก เมืองแห่งสายน้ำ เมืองแห่งสะพาน และ เมืองแห่งแสงสว่างเมืองเวนิส ถูกสร้างขึ้นจากการเชื่อมเกาะเล็กๆ จำนวนมากเข้าด้วยกันในบริเวณทะเลสาบเวนิเทีย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของทะเลอาเดรียตริก ในภาคเหนือของประเทศอิตาลี ทะเลสาบน้ำเค็มนี้ตั้งอยู่บริเวณชายฝั่งระหว่างปากแม่น้ำโปกับแม่น้ำพลาวิ มีผู้อยู่อาศัยโดยประมาณ 272,000 คน ซึ่งนับรวมหมดทั้งเวนิส โดยมี 62,000 คนในบริเวณเมืองเก่า 176,000 คนในเทอร์ราเฟอร์มา) และ 31,000 คนในเกาะอื่นๆ ในทะเลสาบ
สถานที่ไม่ควรพลาดชมเมื่อไปอิตาลี
หอเอนปิซา (Pisa Leaning Tower)
หอเอนปิซา ตั้งอยู่ที่เมืองปิชา ประเทศอิตาลี ซึ่งสร้างด้วยหินอ่อน สูง 181 ฟุต มี 8 ชั้น โดยเริ่มสร้างเมื่อ ค.ศ. 1174 เสร็จเมื่อปี ค.ศ.1350 ใช้เวลาก่อสร้างนานถึง 176 ปีสำหรับหอเอนปิชานี้ ภายในมีเสาหินอ่อนที่สลักลวดลายด้วยฝีมือจิตรกรชื่อดังแห่งยุคที่สลักลวดลายไว้สวยงามมาก ส่วนสาเหตุที่เอียงนั้นเกิดขึ้นหลังจากเมื่อสร้างเสร้จแล้ว ฐานได้ทรุดไปข้างหนึ่ง เมื่อวัดดูปรากฏว่าเอียงออกจากแนวดิ่งของฐานถึง 14 ฟุต แต่ก็ยังไม่ล้ม ยังคงเอียงอยู่เช่นทุกวันนี้ ณ ที่หอเอนปิซาแห่งนี้เป็นที่ที่กาลิเลโอขึ้นไปทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับแรงดึงดูดของโลก หอเอนปิซา The Leaning Tower of Pisa เป็นหอระฆังที่มีลักษณะเอียงเหมือนกับจะโค่นล้มภูเขาไฟวีสุเวียส ปอมเปอีตั้งอยู่ในประเทศอิตาลี ใกล้กับเมืองนาโปลี(เนเปิลส์) เหนืออ่าวเนเปิลส์ เป็นภูเขาไฟที่ยังไม่ดับเพียงแห่งเดียวในทวีปยุโรปแผ่นดินใหญ่ มีความสูง 1,281 เมตรปากปล่องมีเส้นรอบวง 1,400 เมตร ลึก 216 เมตร การระเบิดครั้งสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในวันที่ 24 สิงหาคม ปี พ.ศ. 622 (ค.ศ. 79)เถ้าถ่านได้ทับถมเมืองปอมเปอีทั้งเมืองแต่การระเบิดครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2487 (ค.ศ. 1944)เปิดให้เที่ยวชม ศึกษาซากฟอสซิลของมนุษย์ได้ที่นี่
 
ทัวร์อิตาลี เที่ยวอิตาลี ประเทศอิตาลี
อ้างอิง: http://www.destinaguide.com/europe/italy,http://www.cenacolovinciano.it/html/eng/smgrazie.htm

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น